KEY :
- ญี่ปุ่นเผชิญการขาดดุลการค้าครั้งใหญ่ มูลค่า 19.97 ล้านล้านเยนในปี 2022 ที่ผ่านมา นับเป็นการขาดดุลการค้ามาที่สุดในรอบกว่า 40 ปี
- สาเหตุมาจากราคาพลังงานอย่างน้ำมันดิบ ก๊าซ และถ่านหินสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา
- ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและพลังงาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และทำสถิติสูงที่สุดในรอบกว่า 40 ปีอีกเช่นกัน
…
กระทรวงการคลังของญี่ปุ่นรายงานสถิติการนำเข้าส่งออกเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา โดยพบว่า ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าสูงถึง 19.97 ล้านล้านเยน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงานและวัตถุดิบต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ควบคู่กับการที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่มูลค่าการส่งออกก็ลดต่ำลงจากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น
โดยมูลค่าการนำเข้านั้นเพิ่มสูงกว่า 118 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 39.2% สินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่เป็นน้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG
ส่วนภาคการส่งออกนั้นเพิ่มขึ้น 18.2% หรือคิดเป็นมูลค่า 98.19 ล้านเยน สูงที่สุดในรอบหลายปีเช่นกันจากการส่งออกรถยนต์และเหล็กเพิ่มมากขึ้น
โดยการขาดดุลการข้าที่เกิดขึ้นนี้สูงที่สุดในรอบกว่า 40 ปีของประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นการขาดดุลการค้าที่สูงกว่าการขาดดุลการค้าครั้งใหญ่เมื่อปี 2014 กว่า 7 ล้านล้านเยน และสูงกว่าเมื่อเมื่อปี 2021 ถึง 18 ล้านล้านเยนด้วยกัน
ซึ่งการขาดดุลในช่วงปี 2014 นั้นเป็นผลกระทบมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่และส่งผลให้คลื่นสึนามิพัดถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศ ส่งผลให้เกิดการรั่วไหล และนำไปสู่การหยุดระงับใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นจำนวนมาก เพื่อชดเชยพลังงานนิวเคลียร์ที่หายไปจากระบบ
ก่อนที่สถานการณ์จะกลับมาดีขึ้น จากการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันดิบ และก๊าซ ยังคงเป็นปัญหาที่ญี่ปุ่นประสบอยู่ เนื่องจากจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
นักวิเคราะห์คาดว่า สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น
นักวิเคราะห์ประเมินว่า สถานการณ์ของค่าเงินเยนที่ค่อย ๆ แข็งค่าขึ้น และราคาพลังงานที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้การขาดดุลการค้าของญี่ปุ่นก็จะค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้การขาดดุลนี้ พลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
นอกจากนี้ราคาสินค้าบางอย่างยังคงมีราคาที่ค่อนข้างสูงจากผลกระทบของสถานการณ์ในยูเครน โดยที่ล่าสุด รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่น ได้มีการเจรจากับรัฐบาลแคนาดา เพื่อจัดหาปุ๋ยเคมีเพิ่มเติมสำหรับใช้ในภาคเกษตรของประเทศ
เงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี
ดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI ของสินค้าทุกรายงานยกเว้นอาหารสด เพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงในอัตราที่สูงที่สุดในรอบกว่า 40 ปี นับตั้งแต่ปี 1981 โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 นั้นดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 3.7%
ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยราคาก๊าซ ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 23% , ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น 21%
ในขณะเดียวกันราคาอาหารต่าง ๆ ก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 46 ปี ซึ่งสินค้าในกลุ่มอาหารหลายชนิด ญี่ปุ่นจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งสินค้าที่มีราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหลายชนิด เช่น
- น้ำมันปรุงอาหาร เพิ่มขึ้น 33.6%
- มันฝรั่งทอด เพิ่มขึ้น 18%
- แฮมเบอร์เกอร์ เพิ่มขึ้น 17.9%
- เครื่องดื่มอัดลม เพิ่มขึ้น 15.9%
- ขนมปัง เพิ่มขึ้น 14.1%
- นม เพิ่มขึ้น 9.9%
- เนื้อหมูในประเทศ เพิ่มขึ้น 9.4%
- ไข่ เพิ่มขึ้น 7.8%
ซึ่งสินค้าจำพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่ ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทำให้สินค้าในกลุ่มนี้ขยับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ที่ต้องใช้ข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบ
ทางด้านของสถาบันวิจัยเอกชนที่ได้มีการสำรวจสินค้า อาหารและเครื่องดื่มระบุว่า ยังคงมีแนวโน้มที่สินค้าจะปรับขึ้นราคาอีกกว่า 4 พันรายการ โดยสินค้าบางชนิดมีการปรับขึ้นราคาสูงมากราว 1.6 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ก่อนหน้า
บริษัทแท็กซี่แจ้งคนขับให้ประหยัดน้ำมัน
ท่ามกลางราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทแท็กซี่ได้มีการปรับตัวเช่น การซื้อรถยนต์ไฮบริดที่ช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักของบริษัท รวมถึงการแจ้งต่อคนขับรถให้ขับประหยัดน้ำมัน ด้วยการดับเครื่องเมื่อไม่จำเป็น ไม่เบรคกระทันหัน หรือเร่งเครื่องมากจนเกินไป ร่วมถึงการตั้งเครื่องปรับอากาศในรถให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย
ข้อมูล –
- https://www3.nhk.or.jp/news/html/20230120/k10013954691000.html
- https://www3.nhk.or.jp/news/html/20230116/k10013950861000.html