คัดลอก URL แล้ว
นอท พันธ์ธวัช แถลงกรณีจนท.นำหมายค้นกองสลากพลัส – ประกาศลงการเมือง ในนาม”พรรคเปลี่ยน”

นอท พันธ์ธวัช แถลงกรณีจนท.นำหมายค้นกองสลากพลัส – ประกาศลงการเมือง ในนาม”พรรคเปลี่ยน”

KEY :

นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ซีอีโอกองสลากพลัส แถลงกรณีหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานสลากฯ กรมสรรพากร ปปง. และอีกหลายหน่วยงานได้เข้าตรวจค้นสลาก ตามหมายศาลที่ทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ไปร้องเรียนต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เรื่องกรณีจำหน่ายสลากกินแบ่งเกินราคา จำนวน 70 ใบ และในวันนี้จึงได้นำหมายศาลเข้ามาตรวจสอบว่า มีสลากฯ จริงหรือไม่ ซึ่งในการตรวจสอบนั้น สามารถเก็บสลากกินแบ่งฯ ไปได้จำนวน 69 ใบที่เป็นสลากกินแบ่งฯ ในงวดล่าสุดนี้ ในขณะที่อีก 1 ใบนั้นเป็นสลากฯ ในงวดก่อนหน้าที่ถูกนำไปเก็บในโกดังแล้วก่อนหน้านี้ จึงขอใช้เวลาอีกหนึ่งเพื่อหาและนำไปแสดงต่อไป ซึ่งทางกองสลากพลัสยืนยันว่า สลากฯ ทั้งหมด 70 ใบมีครบถ้วน

โดยนายพันธ์ธวัช ซีอีโอของกองสลากพลัส ยังได้กล่าวว่า สำหรับกรณีสลากกินแบ่งฯ เกินราคานั้น เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นแรกก่อนที่จะมีกองสลากพลัส ซึ่งการได้ของสลากฯ นั้นมีผู้ที่จัดหามาจำหน่ายอยู่แล้วในปัจจุบัน โดยผู้ที่นำมาจำหน่ายให้กับกองสลากพลัสนั้น ก็เป็นผู้ที่รับมาซื้อต่อมา และนำมาขายต่อให้กับกองสลากพลัส เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตลาดที่มีจำหน่ายอยู่แล้ว

สำหรับกรณีที่สำนักงานสลากฯ จะมีการตรวจสอบและมีการตัดโควต้าผู้ค้าสลากรายย่อยนั้น ก็ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ว่า มีสิทธิ์ หรือมีหลักฐานที่จะดำเนินการหรือไม่ เนื่องจากกองสลากพลัสยืนยันว่า ไม่ได้ซื้อตรงจากเจ้าของโควต้าสลากฯ รายย่อย และเจ้าของโควต้าก็ไม่ได้นำเล่มสลากฯ มาจำหน่ายให้กับกองสลากพลัส แต่เจ้าของโควต้าจะนำไปขายเองที่อื่น และตนเองก็ไปหาเหล่านั้นมาจากผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้ได้โควต้าโดยตรง และเป็นพยานให้กับผู้รับโควต้าสลากฯ ทุกคน และหากผู้ได้รับโควต้าถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องไปต่อสู่กับสำนักงานสลากฯ โดยตรงว่า เป็นการดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่

ระบุ ประเทศนี้ไม่มีกฎหมายห้ามกว้านซื้อสลากฯ

นายพันธ์ธวัช ตอบกรณีที่ถูกระบุว่า มีการกว้านซื้อสลากฯ ว่า ในประเทศไทยไม่ได้มีกฎหมายการห้ามกว้านซื้อสลากฯ แต่อย่างใด ที่ผ่านมาก็มีการขายกันในรูปแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ที่มีจำหน่ายกันในขณะนี้ ก็มีนายทุนไปกว้านซื้อมาอยู่แล้ว และตนเองก็ไปแย่งซื้อกับนายทุนเหล่านั้นมาจำหน่ายเท่านั้นเอง ซึ่งคนเก่าที่ยังกว้านซื้อ ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม

สำหรับที่บอกว่า คนจน คนพิการไปซื้อหาสลากกินแบ่งฯ มาจำหน่ายนั้น ก็ต้องถามกลับว่า คนเหล่านี้ จะมีเงินเป็นหลักล้านไปซื้อสลากฯ นำมาจำหน่ายต่อได้อย่างไร ส่วนใหญ่รับมาจำหน่ายกินเปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น ดังนั้นให้ลองคิดถึงต้นทุนของผู้ค้า ซึ่งเราไม่เคยพูดถึงว่า สลากฯ นั้นถูกกว้านซื้อมานานแล้ว และระบบเป็นแบบนี้อยู่แล้ว โดยที่กองสลากพลัสเป็นเพียงผู้ที่เข้าไปซื้อจากในระบบมาเปลี่ยนวิธีจำหน่าย ให้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้นเท่านั้น

สลากกินแบ่งฯ ถือเป็นสินค้าที่มีจำกัด มีการจำกัดจำนวน เมื่อมันมีจำกัดก็ส่งผลให้มันมีราคาสูงขึ้นจากการที่ทุกฝ่ายมีต้นทุนในการจัดหาสลากฯ มาจำหน่าย คือค่าสลากฯ ราคา 80 บาท บวกต้นทุนค่าดำเนินการ ค่าจัดหาต่าง ๆ ซึ่งตัวสลากฯ ก็คือ 80 บาท ไม่ได้เกินราคา แต่มันบวกกับค่าดำเนินการต่าง ๆ ทำให้สลากฯ ที่มีวางจำหน่ายกันข้างถนนมีราคาเกิน 80 บาท เช่นเดียวกับกองสลากพลัส ก็มีค่าใช้จ่ายในส่วนของระบบต่าง ๆ ค่าดำเนินการต่าง ๆ เช่นเดียวกับผู้ขายสลากฯ อีกราว 2 แสนรายที่เดินจำหน่ายสลาก สำหรับค่าบริการของกองสลากพลัส เหมือนกับบริการอื่น ๆ ที่มีค่าบริการทั่วไป ซึ่งเป็นต้นทุนในการดำเนินการ แล้วแต่ว่า ระบบมีคิดค่าบริการ-ค่าดำเนินการตรงไหน เช่นเดียวกับแอปฯ เป๋าตัง ที่มีการเก็บค่าดำเนินการในการขึ้นเงิน 1.0% ซึ่งค่าบริการของกองสลากพลัสนั้น มีที่มาที่ไปไม่ใช่การเลี่ยงบาลีแต่อย่างใด

ซึ่งการจำหน่ายสลากกินแบ่งฯ นั้นไม่จำเป็นต้องมีสิทธิในการขาย เคยมีการยื่นเรื่องให้ครม. มีการพิจารณาแล้ว และมีความเห็นว่า หากมีการออกใบอนุญาตจำหน่ายสลากฯ จะส่งผลกระทบต่อผู้ค้ารายย่อย นำไปสู่การขายใบอนุญาต ดังนั้นทุกคนสามารถซื้อสลากกินแบ่งฯ มาจำหน่ายต่อได้

รับรู้จักและยืมงาน นายแทนไท จริง

ส่วนกรณีของนายแทนไทย นั้น ยอมรับว่า รู้จักและยืมเงินมาจริง แต่เป็นการยืมเงินมาลงทุน ซึ่งไม่ทราบว่า นายแทนไท ทำธุรกิจอะไรบ้าง ทราบเพียงว่า เป็นเงินที่ได้นั้นเป็นเงินที่มาจากการซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ และการกู้ยืมนั้นก็ถูกต้องตามกฎหมาย มีเสียดอกเบี้ยให้กับนายแทนไท ด้วย

ซึ่งสาเหตุที่ต้องไปกู้ และหานักลงทุนข้างนอกนั้น เนื่องจากไม่สามารถกู้กับธนาคารได้ จึงต้องไปหานักลงทุนมาร่วมลงทุน และได้รู้จักกับนายแทนไท ซึ่งทราบว่า นายแทนไท ชอบลงทุนกับสตาร์ทอัป จึงได้เข้าไปเสนอโครงการ เพื่อหาเงินมาลงทุนต่อในการจัดซื้อสลากฯ มาจำหน่าย โดยหลังจากที่ไปเสนองานแล้วก็มีการให้กู้เงินเพื่อมาลงทุนตามปรกติ และเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ

ประกาศลงการเมือง ตั้ง “พรรคเปลี่ยน”

นอกจากนี้ในการแถลงข่าวในครั้งนี้ นายพันธ์ธวัชยังได้กล่าวถึงการลงเล่นการเมืองในนาม “พรรคเปลี่ยน” โดยมีความตั้งใจเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาสลากฯ แพง ซึ่งจำเป็นจะต้องทำผ่านนโยบายทางด้านการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนและเห็นชอบจากประชาชน ดังนั้นจึงได้เตรียมการในการดำเนินการทางการเมืองไว้แล้ว ภายใต้ชื่อ “พรรคเปลี่ยน” ซึ่งมีการจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองตั้งแต่ ส.ค. 2565 และจองชื่อไว้ตั้งแต่ เดือน ธ.ค. 2564 แล้ว ในขณะนี้อยู่ในระหว่าง กกต. รอรับรองพรรคการเมือง

โดยในเร็ว ๆ นี้จะมีการเปิดแพลตฟอร์มให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น เพื่อกำหนดนโยบายพรรค และทางพรรคเปลี่ยน จะเน้นการพูดถึงนโยบายปากท้องประชาชน โดยเฉพาะปัญหาที่ไม่มีใครกล้าพูด หรือกล้าที่จะแก้ จะขออาสาทำเอง แต่เรื่องสลากฯ ถือเป็นเรื่องที่ถนัดมากที่สุด ซึ่งนายพันธ์ธวัช จะเป็นหัวหน้าพรรค และอยู่ในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์

สำหรับสโลแกนของพรรคคือ พรรคเปลี่ยน เปลี่ยนเพื่ออนาคต เปลี่ยนได้ถ้ากล้าพอ


ภาพ – กฤติกร จิตติอร่ามกูล


ข่าวที่เกี่ยวข้อง