KEY :
- ผลการศึกษาพบ ยอดการใช้บริการห้องฉุกเฉินจากเด็ก-วัยรุ่นที่คิดฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- คาดว่า เป็นผลมาจากการระบาดของช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วยเช่น ปัญหาสังคม การใช้ยาเสพติด การถูกกลั่นแกล้งทั้งที่โรงเรียนและออนไลน์
…
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นอ้างอิงผลการศึกษาจากวารสารกุมารเวชศาสตร์ (Pediatrics) เมื่อไม่นานนี้ ระบุว่าการเข้าใช้บริการแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลด้วยความคิดฆ่าตัวตายในหมู่เด็กและวัยรุ่นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การศึกษาพบการเข้าแผนกฉุกเฉินด้วยสาเหตุจากความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นร้อยละ 59 จากช่วงปี 2016-2017 ถึงปี 2019-2021 และการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นร้อยละ 57 ระหว่างฤดูใบไม้ร่วง 2019 ถึงฤดูใบไม้ร่วง 2020
ทางด้านผู้วิจัยระบุว่า ตัวเลขที่แท้จริงอาจจะสูงกว่าที่ศึกษาไว้มาก เนื่องจากไม่ใช่เด็กทุกคนที่มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย จะถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาของรัฐใดรัฐหนื่งเท่านั้น
ผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) นำพาวัยรุ่นและเด็กเล็กกลับมาสนใจเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น แต่การศึกษาพบว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนมีวิกฤตสุขภาพระดับโลกแล้ว
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ทางสังคมที่ส่งผลต่อความคิดของเด็ก ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ความยากจน การบาดเจ็บที่เกิดขึ้น การกลั่นแกล้งภายในโรงเรียนหรือออนไลน์ รวมถึงแรงกดดันที่พบเห็นบนโซเซียลมีเดีย และเด็ก ๆ ก็ไม่ได้เข้าถึงการรักษาหรือการบำบัด
ซึ่งที่ผ่านมาอัตราการพบผู้ป่วยเหล่านี้จะอยู่ที่ราว 1-2 คนต่อวัน แต่ในขณะนี้อยู่ที่ราว 20 กว่ารายต่อวัน โดยเด็กหลายคนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยความคิดที่จะฆ่าตัวตาย เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า และใช้สารเสพติด
อนึ่ง คณะบริหารสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุเมื่อเดือนมิถุนายนว่าเกิด “วิกฤตสุขภาพจิตอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” ในหมู่เด็กของประเทศ
ที่มา – ซินหัว