คัดลอก URL แล้ว
การล่มสลายของ FTX กับระเบิดลูกใหญ่ที่สะเทือนวงการคริปโต

การล่มสลายของ FTX กับระเบิดลูกใหญ่ที่สะเทือนวงการคริปโต

KEY :

กลายเป็นประเด็นร้อนสะเทือนวงการคริปโตอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ สำหรับ FTX ซึ่งเป็น Exchange รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก Binance ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจนต้องยื่นขอล้มละลายไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ตลาดคริปโตตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเกิดความผันผวนอย่างมาก รวมถึงการล้มโปรเจคต่าง ๆ อย่าง Terra Luna และ UST ที่กระทบเป็นวงกว้างในตลาดคริปโต นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นต่อนักลงทุน และส่งต่อผลกระทบไปการล้มโปรเจคอื่น ๆ รวมถึงธนาคารคริปโตด้วยเช่นกัน

ข่าวการยื่นขอล้มละลายของ FTX ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งตลาดคริปโต เรียกได้ว่า ‘แดงทั้งกระดาน’ มิหนำซ้ำอาจเป็นโดมิโนส่งต่อความพินาศไปถึง Exchange และ ธนาคารคริปโต อื่น ๆ ที่ร่วมลงทุนด้วยเช่นกัน

จุดเริ่มต้นของหายนะ FTX

บริษัท Alameda Research ของ แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับ FTX จากการวิเคราะห์ของหลาย ๆ ฝ่าย ระบุว่า Alameda Research อาจเป็นต้นเหตุในการเกิดวิกฤตในตลาดคริปโตครั้งนี้

จากข้อมูลของ Coindesk ระบุว่า สินทรัพย์ภายใต้การดูแลของ Alemeda Research นั้นเป็น FTT หรือ FTX Token คือเหรียญมาตรฐาน ERC-20 ที่สร้างบนเครือข่าย Ethereum โดยมีผู้สร้างคือ FTX โดยมีการถือครองไว้ประมาณ 80 % โดย Alameda Research ใช้ FTT ไปค้ำเพื่อกู้เงินออกมาใช้ โดยบริษัทที่เข้าไปกู้เงินนั้นก็คือ FTX นั้นเอง

Photo : Coinmarketcap

โดย ฉางเผิง จ้าว (Changpeng Zhao) หรือ CZ เจ้าของ Binance ซึ่งได้ประกาศจะถอนการลงทุน FTX ผ่านทางทวิตเตอร์ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ แต่จะทำการเทขายทีละนิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดคริปโต พร้อมหยิบยกกรณีตัวอย่างของเหรียญ Luna ของทาง Terra เป็นกรณีศึกษา

แน่นอนเมื่อเจ้าใหญ่อย่าง CZ เจ้าของ Binance ประกาศเทขาย FTT ทำให้เกิดการ Panic Sell เป็นวงกว้าง จนกระทั่งราคา FTT ร่วงลงมาถึง 10 เท่า

ผลเสียที่ตามมาคือ FTX กลับขาดสภาพคล่องอย่างหนัก กระทั่ง Changpeng Zhao หรือ CZ เจ้าของ Binance ประกาศเข้าช่วยเหลือในการเข้าซื้อ FTX แต่ด้วยสภาวะวิกฤตอย่างรุนแรงของ FTX ทำให้ต่อมาทาง CZ ได้ประกาศล้มดีลดังกล่าวไปในที่สุด

SBF อดีตซีอีโอ FTX ชายผู้มีอิทธิพลในวงการคริปโต

แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ หรือ ที่รู้จักกันในชื่อย่อ SBF (SAM Bankman-Fried) เกิด 6 มีนาคม พ.ศ. 2535 เกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลาง ในแคลิฟอร์เนีย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านฟิสิกส์และวิชาโทในวิชาคณิตศาสตร์

ในเดือนพฤศจิกายน 2017 SBF ก่อตั้ง Alameda Research บริษัทการค้าเชิงปริมาณร่วมกับ Tara Mac Aulay จาก Center of Effective Altruism ในปี 2021 เป็นเจ้าของ 90% ของ Alameda Research ในเดือนมกราคม 2018 ได้จัดการค้าโดยอนุญาโตตุลาการขึ้นเป็น 25 ล้านเหรียญต่อวัน เพื่อใช้ประโยชน์จากราคา Bitcoin ที่สูงขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับในอเมริกา หลังจากเข้าร่วมการประชุม Cryptocurrency ปลายปี 2018 ที่มาเก๊าเขาย้ายไปฮ่องกง และก่อตั้ง FTX ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในเดือนเมษายน 2019 และเปิดตัวในเดือนถัดไป

โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา FTX ได้รับการประเมินมูลค่ากิจการอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 5.9 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน SBF มีทรัพย์สินรวมมูลค่านับแสนล้านบาทเลยทีเดียว

หลังการยื่นขอล้มละลาย เขาได้ยื่นลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ FTX เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน และถูกแทนที่โดย John J. Ray III ซึ่งเคยเป็น CEO ของ Enron และช่วยเหลือเหยื่อของการล่มสลาย เพื่อชดเชยการสูญเสียประมาณ 10% FTX และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นฟ้องล้มละลายในเดลาแวร์ในวันเดียวกัน หลังจากการล่มสลายของ FTX เพนต์เฮาส์ในบาฮามาสของ SBF ถูกขายในราคาเกือบ 40 ล้านดอลลาร์

จากแรงระเบิดของ FTX กำลังส่งต่อความพินาศเป็นโดมิโน

ผลกระทบของการล่มสลายของ FTX เป็นวงกว้างอย่างมาก เนื่องด้วยเป็น Exchange รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีการทำเหรียญ FTT ออกมา เพื่อใช้ภายในระบบของกระดานเทรดตัวเอง และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทำให้สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งรายเล็ก รายย่อย รายใหญ่ต่าง ๆ ทั้งระดับ Exchange และ ธนาคารคริปโต ด้วยเช่นกัน

ขณะที่ BlockFi, Genesis และ Wintermute ซึ่งเป็นรายชื่อที่กำลังถูกจับจ้องว่าจะได้รับผลกระทบจากการล้มของ FTX มากที่สุด

โดยในรายของ BlockFi แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโตเคอร์เรนซี มีข่าวลือมาว่า กำลังพิจารณาเตรียมยื่นเอกสารล้มละลาย พร้อมปลดพนักงานจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลกระทบจากการล้มละลายของ FTX

เจ้าของ Binance ประกาศตั้งกองทุนฟื้นฟู จากเหตุ FTX

Changpeng Zhao หรือ CZ เจ้าของ Binance ได้ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ย.65 ว่าเตรียมจัดตั้งกองทุนเพื่อฟื้นฟูอุตสากรรมคริปโต เพื่อลดผลกระทบความเสียหายจาก FTX โดยจะแจ้งรายละเอียดของกองทุนดังกล่าวให้ทราบในเร็ว ๆ นี้

นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต ทั้งฝั่งจีน และ สหรัฐฯ เตรียมเข้าร่วมสนับสนุนทาง Binance

สำหรับในวงการคริปโตในปีนี้ ถือได้ว่าเกิดวิฤกตเกือบตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งวงการ ทั้งนักลงทุน รวมถึงระดับกระดานเทรด และ ธนาคารคริปโตด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนราคาแพงของใครหลาย ๆ คน เมื่อมี ‘ผู้ได้’ ก็ย่อมมี ‘ผู้เสีย’ ฉะนั้นแล้วควรศึกษาให้รอบครอบ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง