คัดลอก URL แล้ว
พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ ‘ผู้ป่วยจิตเวช’ เมื่อป่วยต้องรักษาและบำบัด

พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ ‘ผู้ป่วยจิตเวช’ เมื่อป่วยต้องรักษาและบำบัด

KEY :

เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอย่างมาก สำหรับกรณี ‘เค ร้อยล้าน’ หรือ นายคเณศพิศณุเทพ จักรภพมหาเดชา บุกเข้าล็อคคอ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะเข้าร่วมงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ จนเกิดความวุ่นวายขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ก่อเหตุส่งไปยังโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อตรวจสอบสภาพอาการทางจิตว่าเข้าข่ายเป็นผู้มีความผิดปกติทางจิตหรือไม่

คำถามจากสังคมถึงความเสี่ยงเมื่อต้องเจอผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเวช หลายต่อหลายครั้งที่เคยมีข่าวปรากฏเกี่ยวกับผู้ป่วยทางจิตเวช ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยทางจิต จากการใช้สารเสพติด หรือทางชีวภาพ ปัญหาสังคมแวดล้อม ที่ส่งผลกระทบทางจิตใจ จนกลายเป็นผู้ป่วยทางจิต หากไม่ได้รับการรักษา หรือ บำบัดที่ถูกต้อง ก็อาจเป็นภัยต่อคนในสังคมได้เช่นกัน

ซึ่งกรมสุขภาพจิต ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า หากพบผู้มีความเสี่ยง มีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องสามารถแจ้งข้อมูลเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562

สถิติผู้ป่วยจิตเวชที่ก่อความรุนแรง

กรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 14 กันยายน มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่ก่อความรุนแรงรวม 3,815 ราย โดยในจำนวนนี้มีผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุรุนแรงซ้ำจำนวน 510 ราย ผู้ป่วยทั้งหมดนี้ได้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาของระบบสาธารณสุข

จากการรายงานผลการดำเนินงานโดยสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2564 พบว่า มีข้อมูลผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ ทั้งในและนอกสังกัดกรมสุขภาพจิตมีจำนวนทั้งสิ้น 269 ราย โดยในสัดส่วนนี้เป็นผู้ที่ถูกดำเนินการส่งต่อตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต โดยยังไม่ได้ก่อคดีเพียง 59 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 21.93 เท่านั้น

นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติในสังคมที่มีคนอยู่ร่วมกันหลากหลาย การแก้ไขความขัดแย้งมีทั้งในเชิงบวก ซึ่งนำไปสู่การช่วยกันแก้ไขความขัดแย้งไปสู่ระบบที่ดีมากยิ่งขึ้น

ส่วนความขัดแย้งเชิงลบจะนำไปสู่ความรุนแรง เกิดความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย การป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งนำไปสู่ความรุนแรง คือต้องมองความขัดแย้งเป็นเรื่องของระบบ มุมมองหรือทัศนคติ ไม่บ่งชี้ไปที่ตัวบุคคล โดยวิธีการแก้ไขคือการเจรจา การประนีประนอม หรือให้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน ไม่ทำร้ายผู้เห็นต่าง ซึ่งยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างไม่มีที่สิ้นสุด

ว่าด้วย พ.ร.บ.สุขภาพจิต แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562

ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ตามมาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา (1) มีภาวะอันตราย (2) มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา

โดยมาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะตามมาตรา 22 ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจโดยไม่ชักช้า และให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการตามมาตรา 27

สำหรับพระราชบัญญัติสุขภาพจิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิต บางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 28 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 และมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

โดยพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ทำให้บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตยังไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างถูกต้องและเพียงพอ มีการเผยแพร่ข้อมูลสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่ออื่นใด ในทางที่ก่อให้เกิดทัศนคติไม่ดีต่อบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต รวมทั้งขาดกลไกการฟื้นฟูสมรรถภาพให้ผู้ป่วยที่มีอาการทุเลาสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข

‘ผูู้ป่วยจิตเวช’ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง

ผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง เป็นผู้ป่วยด้วยโรคจิตเวชที่มีความผิดปกติทางอารมณ์หรือพฤติกรรมที่ได้รับการวินิจฉัยอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป ยกเว้นกลุ่มปัญหาพัฒนาการและสารเสพติด

ด้วยความเจ็บปวดทางจิตเวชดังกล่าวจะต้องส่งผลต่อความเสี่ยงต่อพฤติกรรมรุนแรง หรือ ทำให้เกิดความทุกข์พลัมภาพรุนแรงมีผลรบกวนต่อการใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังและดูแล เพื่อป้องกันการกำเริบซ้ำมากกว่าผู้ป่วยที่วินิจฉัยด้วยโรคเดียวกัน

โดยเกณฑ์การจำแนกผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงได้แก่ผู้ป่วยโรคจิตเภทร่วมซึมเศร้าและโรคอารมณ์ 2 ขั้วที่มีภาวะอันตรายสูงและที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายสูงโดยมีเกณฑ์จำแนกดังนี้

อาการเตือนทางจิตและปัจจัยกระตุ้นที่เสี่ยงต่อพฤติกรรมรุนแรง

การแสดงอาการของโรคหลังจากได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว การเกิดอาการกำเริบซ้ำของผู้ป่วยจะมีการเตือนก่อนเสมอ โดยปัจจัยกระตุ้นทำให้ผู้ป่วยควบคุมตัวเองไม่ได้ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

โดยปัจจัยกระตุ้นที่เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมรุนแรง อาทิ ผู้ป่วยขาดยารับประทานยาไม่ต่อเนื่องหรือไม่ยอมรับประทานยา / เมาสุราหรือใช้สารเสพติด / มีอาการหลงผิดระแวงว่าจะถูกทำร้ายกลัวหรืออาจหลงคิดว่ามีอำนาจ / มีอาการหูแว่วได้ยินเสียงสั่งให้ทำร้ายผู้อื่น / อยู่ในภาวะอารมณ์โกรธรุนแรงอาจเกิดจากการถูกขัดใจ คนอื่นพูดผิดหู / อาจเลียนแบบทำตามผู้อื่น

สำหรับอาการเตือนหรือสัญญาณเตือนของกิจกรรมรุนแรง โดยลักษณะการแสดงออกของผู้ป่วย ในด้านคำพูด ได้แก่ พูดคำหยาบ ไม่ยอมรับการเจ็บป่วย ปฏิเสธการปวดจิต เป็นต้น ด้านอารมณ์ ได้แก่ หงุดหงิด โกรธง่าย เอาแต่ใจตนเอง ดื้อ ไม่ฟังใคร เป็นต้น ด้านพฤติกรรม ได้แก่ สีหน้าเคร่งเครียด ตาขวาง สายตาไม่เป็นมิตร อยู่ไม่นิ่ง กระสับกระส่าย หรือ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม เป็นต้น

ปัญหาด้านสุขภาพจิตยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย คนรอบข้าง และสังคม ซึ่งต้องยอมรับว่ายังมีผู้ป่วยจิตเวชอาจไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องมาจากการขาดโอกาสและการสนับสนุนในสังคม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการก่อเหตุความรุนแรง

ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องพบเจอโดยไม่คาดคิดเมื่อเจอผู้ป่วยจิตเวช ควรโทรแจ้งประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้ามาระงับเหตุ หรือ เข้าควบคุมผู้ป่วยจิตเวช ที่เสี่ยงต่อการกระทำความรุนแรงในสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและบำบัดตามขั้นตอนต่อไป


ข้อมูล :


ข่าวที่เกี่ยวข้อง