KEY :
- กรมชลประทานแจ้งเตือนเฝ้าระวังระดับน้ำ หลังปรับเพิ่มปริมาณการระบายน้ำในช่วง 8 – 13 ต.ค.นี้ และมีน้ำทะเลหนุน
- ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยามีระดับน้ำที่สูงขึ้น
- คาดระดับน้ำในพท.กรุงเทพฯ ปทุมฯ นนท์ เพิ่มขึ้น 0.15 – 0.30 เมตร
…
จากประกาศกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 49/2565 เรื่องเฝ้าระวังระดับน้ำบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ระบุว่ากองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีน้ำหลากจากทางตอนเหนือไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น วานนี้ (6 ตุลาคม 2565) เวลา 18.00 น. มีปริมาณน้ำไหลผ่านบริเวณ จ.นครสวรรค์ (C.2) ในเกณฑ์ 3,077 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที
ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวจะไหลมารวมกับแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยา โดยกรมชลประทานได้พิจารณารับน้ำเข้าคลองฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเต็มศักยภาพคลองที่สามารถรองรับน้ำได้
ปัจจุบันระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +17.64 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง (ม.รทก) ซึ่งสูงกว่าระดับเก็บกัก 1.14 (+16.50 ม.รทก) เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของบานระบายน้ำและตัวเขื่อนเจ้าพระยา กรมชลประทานจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำ ด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์ +17.60 ม.รทก
ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรามากกว่า 2,900 – 3,000 ลบ.ม./ต่อวินาที ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2565 ประกอบกับกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้คาดการณ์ระดับน้ำทะเลหนุน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกองบัญชาการกองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร ป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ จ.สมุทรปราการ และพื้นที่ใกล้เคียง จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ โดยระดับน้ำจะมีความสูงประมาณ 1.90 – 2.20 ม.รทก ในช่วงวันที่ 8 – 13 ตุลาคม 2565
จึงขอให้เฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
ตั้งแต่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.10 – 0.15 เมตร
- จ.ชัยนาท อ.สรรพยา
- จ.สิงห์บุรี อ.อินทร์บุรี อ.เมืองสิงห์บุรี อ.พรหมบุรี
- จ.อ่างทอง อ.ป่าโมก และ อ.ไชโย คลองโผงเผง
- จ.พระนครศรีอยุธยา คลองบางบาล อ.เสนา และ อ.ผักไห่
ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 0.15 – 0.30 เมตร ตั้งแต่บริเวณ
- จ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางไทร
- จ.ปทุมธานี
- จ.นนทบุรี
- กรุงเทพมหานคร
- จ.สมุทรปราการ
ทั้งนี้ กรมชลประทานปฏิบัติตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2565 กอนช. อย่างเคร่งครัด ปรับแผนบริหารจัดการน้ำระบบชลประทานต่างๆ ให้ได้เต็มศักยภาพสอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดจนทำการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ และเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำและแนวทางในการบริหารจัดการน้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ตรวจสอบอาคารบังคับน้ำและสถานีสูบน้ำให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือให้สามารถช่วยเหลือประชาชนทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ