KEY :
- วาระสำคัญในที่ประชุมคณะกรรมการศบค. มีการเสนอยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
- ซึ่งรวมทั้งประกาศ และคำสั่งต่าง ๆ ตลอดจนการยุบศบค. รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ภายใต้ศบค.ด้วย
- ด้านนพ.อุดม คชินทร ระบุ แนวโน้มในขณะนี้ดีขึ้น และมีการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขไว้แล้ว
…
วันนี้ (23 ก.ย. 2565) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี(หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 12/2565 ซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่ประธานการประชุมศบค. เป็นครั้งแรก ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะกระทบต่อการดูแลสถานการณ์ทางการเมืองหรือไม่ โดยพล.อ.ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว
ทั้งนี้ต้องจับตาวาระสำคัญในการประชุม จะมีการเสนอยกเลิกการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งหากที่ประชุมในวันเดียวกันนี้เห็นชอบก็จะมีการยุบศบค. และหน่วยงานอื่นๆ ภายใต้ศบค.ด้วย รวมทั้งประกาศและคำสั่งต่างๆ ที่ออกโดยศบค. นอกจากนี้ที่ประชุมจะรายงานสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ พร้อมแผนปฏิบัติการควบคุมโรค โควิด-19 รองรับการเปลี่ยนผ่านเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง พร้อมการพิจารณาแผนการให้บริการวัคซีน โควิด-19 เดือนต.ค. 2565 ที่เสนอโดยศปก.สธ.
ด้านนพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวก่อนการประชุมว่า ถ้าดูตัวเลขวันนี้มีผู้ป่วยและเฝ้าระวัง 800-1,000 คน และหากรวมยอดจาก ATK ทั้งที่รายงานและไม่รายงานเข้าระบบมีคนไข้ที่เป็นโควิดประมาณ 3-4 หมื่นรายต่อวัน ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลทำไมเราถึงเปลี่ยนผ่านจากโรคติดต่อร้ายแรงเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น ซึ่งการเปลี่ยนผ่านเราก็จะสบายขึ้นทุกอย่างจะผ่อนคลายเกือบหมด แต่สิ่งที่ต้องย้ำเราต้องดูแลตนเองติด เพราะอัตราการตายของไทยอยู่ที่ 0.1 % ซึ่งทั่วโลกเฉลี่ยที่ 1% ถือว่าเรายังน้อยกว่าทั้งโลก แต่ก็ไม่อยากให้มีใครตายเลยสักคน จึงต้องให้มีคนเสียชีวิตน้อยกว่านี้โดยต้องไม่ติดเลย เพราะถ้าติดยังมีโอกาสและเกิดลองโควิดได้ และจะบั่นทอนสุขภาพมาก
นพ.อุดม กล่าวอีกว่า วันนี้ส่วนใหญ่ที่ประชุมจะหารือเรื่องแผนการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งในส่วนการเดินทางเข้าประเทศ วันนี้ไม่ดู ATK และไม่ดูวัคซีนแล้ว แต่ยังเน้นว่าประชาชนต้องดูแลตนเอง เพราะโควิดยังอยู่กับเราไม่ต่ำกว่า1 ปี ถึงจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้นยังต้องดูแลตัวเองและประเมินความเสี่ยง โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยยังมีความจำเป็นรวมทั้งอยากย้ำในเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อยควรเข็ม 3 ซึ่งวันนี้มีผู้ฉีดเข็ม3 เฉลี่ย 46-47% อยากให้ได้70% เพราะวัคซีนมีความจำเป็นทำให้อาการไม่รุนแรง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่หากหลังจากนี้จะมีการระบาดระลอกใหม่ นพ.อุดม กล่าวว่า ตอนนี้ไม่กลัวระบาดระลอกใหม่ เพราะเรามีการวางระบบไว้หมดแล้ว เราเรียนรู้โควิดมา 3 ปี ระบบทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ใช่แค่กระทรวงสาธารณสุข แต่ยังรวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศที่เกี่ยวกับคนเข้าประเทศ กระทรวงแรงงานที่ดูแลแรงงาน รวมทั้งหน่วยงนอื่นๆ ระบบเซตไว้หมดแล้ว จากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทำให้สามารถเชื่อมโยงได้ แต่ถ้า 1 ต.ค.นี้ ไม่ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็มีคำถามกลับมาว่าแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งครม. ก็ต้องมอบหมายกระทรวงต่างๆ แทนศบค. เพื่อให้ทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งได้มีแก้พ.ร.บ.โรคติดต่อไว้แล้ว เพื่อให้มีโครงสร้างบางส่วนเหมือนศบค. แต่ขณะนี้ยังรอให้พ.ร.บ.โรคติดต่อเข้าสภา โดยหลัง 1 ต.ค. ก็ใช้มติครม.ไปก่อน ในการมอบหมายให้กระทรวงอื่นๆ ทำหน้าที่ ทั้งนี้เคยเสนอให้นายกฯ ออกพ.ร.ก.โรคติดต่อ ไปก่อนระหว่างรอพ.ร.บ. แต่อยู่ในช่วงยุ่งๆ เลยยังไม่มีการออกมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงสุญญากาศมีความกังวลจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ นพ.อุดม กล่าวว่า เชื่อว่าไม่มีปัญหา แต่อาจไม่เข้มข้นเหมือนตอนศบค. แต่ขณะนี้กระทรวงต่างๆ ทำงาน