นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงการแก้ไขการแพร่ระบาด โควิด-19 ว่าประเทศไทยได้เตรียมรับสถานการณ์ โควิด-19 ก่อนที่องค์การอนามัยโลกจากประกาศเป็นโรคระบาด ทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตจะเกิดจากโรคแทรกซ้อน ยืนยันว่าไทยเป็นประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่รักษาพยาบาลผู้ป่วยทุกราย รวมถึงดูแลค่าใช้จ่ายทั้งยาและเวชภัณฑ์และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 140 ล้านโดส มากกว่าร้อยละ 70 ของประชากร และมากกว่าร้อยละ 90 ประชากรที่มีความเสี่ยง
ซึ่งผู้อภิปรายได้พยายามด้อยค่าวัคซีนที่มาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุน วัคซีนและเวชภัณฑ์ให้กับไทย รวมถึงวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่มีฐานการผลิตวัคซีนในประเทศไทย ซึ่งบุคลากรด้านสาธารณสุขมีความทุ่มเทให้ทุกคนมีความปลอดภัยจากโควิด โดยประชาชนที่ได้รับวัคซีน ครบถ้วนและเข็มกระตุ้นตามกระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่าไม่มีผู้เสียชีวิต โดยตรงจากโควิด ยืนยันสามารถจัดหาวัคซีนได้ครอบคลุมตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงจนถึงผู้สูงอายุ นำหน้าในหลายประเทศจึงขออย่าด้อยค่าวัคซีน
องค์การอนามัยโลกได้ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบของประเทศที่รับมือกับสถานการณ์โควิดได้อย่างยอดเยี่ยมและมีประสิทธิภาพ และได้รับการประเมินจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือระดับโลก ที่ประเมินดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพประจำปี 2564 จัดลำดับให้ ไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางด้านสุขภาพเป็นลำดับที่ 5 ของโลกจาก 195 ประเทศ และเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย
นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับการระบาดในระลอกใหม่ ได้สั่งการให้ สถานพยาบาลได้เตรียมความพร้อมรับมือ ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการต่างๆและการเปิดประเทศแน่นอนว่าทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทุกคนยังต้องดูแลตัวเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งภาพรวมรัฐบาลยังสามารถดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี แล้วรัฐบาลยังต้องรักษาสมดุลในการแก้ปัญหาทางด้านสุขภาพและการแก้ปัญหาทางด้านโควิดอย่างเหมาะสม ซึ่งทุกคนต้องใช้ชีวิตร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย สุดท้าย ข้อกล่าวหาที่บอกว่ารัฐบาลล้มเหลวในระบบสาธารณสุข ยืนยันว่าสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งดูได้จากการที่ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกจาก ประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนให้ไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียนด้านการรับมือภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่
นายอนุทิน ยังชี้แจงถึงนโยบายกัญชาเสรี ว่า รัฐบาลได้วางนโยบายให้นำกัญชามาใช้ในด้านประโยชน์ทางการแพทย์สุขภาพและ ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่มีเรื่องของสันทนาการและนันทนาการ ยืนยันกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ปฏิบัตินอกเหนือจากนโยบายของรัฐบาลที่ได้ให้ไว้กับประชาชน โดยเน้นการนำกัญชาและกันชงมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งหากมีการใช้นอกเหนือจากนี้ โดยไม่ถูกต้องตามเจตนารมย์และผิดกฎหมาย ก็จะมีการดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมายที่ได้กำหนดไว้ ส่วน ร่างพ.ร.บ.กัญชากัญชง อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ร่วมพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งจะทำให้เป็นกฎหมายที่ดีและมีประสิทธิภาพ
นายอนุทิน กล่าววว่า การที่กังวลมากเกินไป อาจทำให้ประเทศเกิดความล้าหลัง และเชื่อว่าทุกคนเข้าใจว่า หากใช้กัญชาในทางการแพทย์อย่างถูกต้อง ประชาชนก็จะมีความยินดีและมีโอกาสในการเข้ารับการรักษาด้วยพืชสมุนไพรไทย ยืนยันการนำกัญชากันชงไปใช้ในทางที่ผิด จะไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ การดำเนินการทุกอย่างทุกขั้นตอน ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการหลายชุด มั่นใจว่าในร่างกฎหมายที่กำลังร่างอยู่นี้จะสามารถควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นข้อกังวลได้ เช่น การนำกัญชาไปประกอบอาหาร ซึ่ง ผู้ประกอบการร้านอาหารจะต้องมีการกำกับสัดส่วนการใช้กัญชาและมีการติดประกาศเพื่อให้ประชาชนได้ทราบว่ามีการใช้ส่วนผสมจากกัญชา ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็จะมีบทลงโทษ ทั้งนี้ คาดหวังว่าร่างกฏหมายกัญชากันชงจะเสร็จสิ้นในสมัยประชุมสภาฯ นี้ เพื่อลดความกังวลต่างๆ และมั่นใจว่าทั้งหมดจะสามารถควบคุมการใช้กัญชาให้เป็นไปอย่างถูกต้องได้
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงคลิปที่ ส.ส.ฝ่ายค้านนำมาเปิดในสภา ระหว่างหาเสียงเรื่องการพี้กัญชา โดยยอมรับอาจพูดติดตลกบ้าง แต่ยืนยันไม่มีเจตนาทางลบ ขอให้ดูทั้งคลิปทั้งหมด อย่าดูแค่ช่วงสั้นๆ เพราะคลิปสามารถตัดต่อได้ และขอโทษหากพูดอะไรไม่เหมาะสม จากนี้จะระมัดระวัง