ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาประหารชีวิต อดีตผู้กำกับโจ้ และพวกอีก 5 คน แต่มีเหตุบรรเทาโทษให้คงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่ ด.ต.ศุภกรณ์ จำเลยที่ 6 โทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน ด้านพ่อแม่ผู้เสียชีวิต พอใจผลการตัดสินของศาล เนื่องจากศาลอธิบายพฤติการณ์ละเอียด ส่วนผู้ก่อเหตุต้องรับกรรมที่ได้กระทำ
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ เขตตลิ่งชัน ได้นัดฟังคำพิพากษาพิจารณาคดี กรณีพันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมตำรวจรวม 7 นาย ร่วมกันใช้ถุงดำคลุมศีรษะนายจิระพงษ์ ธนะพัฒน์ หรือ “มาวิน” ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต จำเลยถูกฟ้องรวม 4 ข้อหา คือ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบ, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้าย
บรรยากาศที่ศาลในวันนี้เต็มไปด้วยสื่อมวลชนหลายสำนัก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาปักหลักรอฟังผลการพิพากษาของศาล โดยการฟังคำพิพากษาวันนี้ มีพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ในฐานะโจทก์ร่วม และครอบครัวของจำเลย ร่วมฟังการพิจารณาคดีด้วย
โดยศาลได้เริ่มต้นอ่านคำพิพากษาในเวลาประมาณ 10.00 น. ซึ่งจำเลยทั้ง 7 คน ไม่มีคนใดได้รับการปล่อยชั่วคราว ยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ โดยได้อ่านพิพากษาผ่านระบบจอภาพทางไกล หรือวิดิโอคอนเฟอเร้นซ์ไปยังเรือนจำ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวmono29 ที่ได้ร่วมเข้าฟังการอ่านพิพากษาในห้องพิจารณาคดี รายงานว่าในช่วงก่อนการอ่านคำพิพากษา อดีตผู้กำกับโจ้ ได้ขออนุญาตต่อศาล ขอกล่าวถ้อยคำแถลง กราบขอโทษทุกคน แต่ศาลไม่อนุญาตให้กล่าว โดยระบุว่าการกล่าวแถลงในวันนี้จะไม่มีผลต่อคดี ซึ่งหากจำเลยต้องการแย้งคำพิพากษา ให้ไปใช้สิทธิ์ฎีกาตามกฎหมายภายหลัง
โดยศาลใช้เวลาในการพิจารณาคดี ประมาณ 2 ชั่วโมง คดีอดีตผู้กำกับการโจ้ และพวกรวม 7 คน ใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ต้องหาคดียาเสพติด ภายใน สภ.เมืองนครสวรรค์ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี2564
โดยศาลพิจารณาพิเคราะห์ว่า อดีตผู้กำกับโจ้ หรือ จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 3 4 5 และ 7 ลงโทษประหารชีวิต โดยมีเหตุบรรเทาโทษจากการช่วยเหลือเยียวยา ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ศาลเห็นว่าจำเลยให้การเป็นประโยชน์ ประกอบกับหลังเกิดเหตุ จำเลยได้พยายามกู้ชีพ และนำผู้เสียชีวิต ขณะหมดสติ ส่งโรงพยาบาลให้แพทย์ทำการกู้ชีพ รวมทั้งช่วยค่าปลงศพผู้ตายจำนวน 3 หมื่นบาท และมีการร่วมกันวางเงินเยียวต่อศาล ให้กับพ่อและแม่ผู้เสียชีวิต คนละ 3 แสนบาท เป็นเหตุลดโทษให้จำเลยคนละ 1 ใน 3 ดังนั้น จำเลยที่ได้รับโทษประหาร เหลือเพียงรับโทษตลอดชีวิต
ส่วนจำเลยที่ 6 ด.ต.ศุภกรณ์ นิ่มชื่น ศาลพิพากษาจำคุก 8 ปี แต่ศาล พิจารณาโทษลดเหลือ 5 ปี 4 เดือน เนื่องจากไม่ผิดฐานร่วมฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และพบข้อเท็จจริงตามภาพ ปรากฎภาพจำเลยเข้ามาพบผู้ตาย ขณะถูกคลุมถุงดำ และมีสีหน้าตกใจและเป็นกังวล และไม่ได้อยู่ร่วมช่วงที่จำเลยคนอื่นใช้ถุงดำคลุมหัวผู้เสียชีวิต
ส่วนกรณีที่ฝั่งโจทก์ พ่อแม่ผู้เสียชีวิตที่มีการยื่นคำร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวน 1 ล้าน 5 แสนบาท ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้เสียหาย สามารถเรียกร้องค่าเสียหาย จากหน่วยงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือต้นสังกัดได้ โดยไม่สามารถเรียกร้องกับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้โดยตรง
ด้านเรืออากาศตรีจักรกฤษ จั่นดี พ่อของนายจิระพงษ์ ผู้เสียชีวิตเปิดเผยหลังรับทราบผลคำพิพากษาว่า พอใจกับผลการพิจารณา เพราะศาลอ่านพฤติการณ์ได้ละเอียด ซึ่งจำเลยได้รับผลกับสิ่งที่ทำซึ่งเป็นกรรมของการกระทำ อาจไม่ขอต่อสู้ทางคดีแล้ว ส่วนจำเลยจะต่อสู้อย่างไร ก็เป็นสิทธิของจำเลย ส่วนจะฟ้องร้องขอเงินเยียวยาทางแพ่ง จำนวน 1 ล้าน 5 แสนบาทหรือไม่นั้น ขอหารือกับทนายความ และอาจจะต้องเพิ่มจำนวนเงินมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนบาท เพื่อชดเชยกับความสูญเสียที่ควรจะได้รับ
ขณะที่ทนายความฝ่ายจำเลย เปิดเผยว่า หลังรับฟังคำพิพากษาของศาล เชื่อว่ายังมีช่องทางที่สามารถต่อสู้คดีได้โดยเฉพาะห้วงเวลาการเสียชีวิต ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุและก่อนเสียชีวิต จนถึงช่วงเวลาที่นำส่งโรงพยาบาล หลังจากนี้ จะรอการคัดคำพิพากษา 30 วัน ก่อนจะยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน