คัดลอก URL แล้ว
นักวิจัยจีนพบ ‘วิถีส่งสัญญาณของโมเลกุล’ ในผู้ป่วยโควิด-19 อาการวิกฤต

นักวิจัยจีนพบ ‘วิถีส่งสัญญาณของโมเลกุล’ ในผู้ป่วยโควิด-19 อาการวิกฤต

KEY :

ทีมงานระดับนานาชาติซึ่งนำโดยนักวิจัยชาวจีน พบวิถีการส่งสัญญาณระดับโมเลกุล ที่ไปเพิ่มความรุนแรงให้กับผู้ป่วยวิกฤตโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งอาจช่วยให้แนวทางการรักษาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ในอนาคต

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารไซเอนซ์ ซิกแนลลิง (Science Signaling) ในวันพุธ (13 เม.ย.) แสดงให้เห็นว่าการรวมตัวของเซลล์ปอดที่ติดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้การตอบสนองต่อการอักเสบนั้นรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการส่งสัญญาณทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นลำดับในปอด ซึ่งสัญญาณนี้เองที่เป็นตัวทำให้เกิดความเสียหายในปอดของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์จีน (China Academy of Chinese Medical Sciences) และวิทยาลัยแพทยศาสตร์ปักกิ่งยูเนียน (Peking Union Medical College) และคณะผู้ร่วมทำงาน ได้วิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ป่วยเสียชีวิตหลังทำการชันสูตรพลิกศพ และพบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยโรคโควิด-19 ขั้นวิกฤต กับการรวมตัวของเซลล์เยื่อบุผิวที่ปอดที่มีชื่อว่า นิวโมไซต์ (pneumocytes) ซึ่งยังพบได้ในลิงแสมและเซลล์ที่เพาะเลี้ยงที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

จากนั้นคณะนักวิจัยจึงทำการตรวจสอบเซลล์ที่เพาะเลี้ยงจากไตของตัวอ่อนมนุษย์ ซึ่งมีการแสดงโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด (SARS-CoV-2) หรือเป็นเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสปากอักเสบตุ่มพอง (vesicular stomatitis virus) ที่มีโปรตีนหนามของไวรัสฯ

ผลคือนักวิจัยพบว่าเซลล์เพาะเลี้ยงข้างต้น มีการรวมตัวกันและก่อตัวเป็นเซลล์ใหม่ที่มีหลายนิวเคลียสและมีไมโครนิวเคลียสขนาดเล็ก ซึ่งจะไปกระตุ้นดีเอนเอเซ็นเซอร์ (DNA sensor) หรือตัวตรวจจับสารเป้าหมายที่อยู่ในของเหลวในเซลล์ และตัวตรวจจับนี้ก็จะเรียกโปรตีนชนิดหนึ่งมา ซึ่งโปรตีนนี้จะไปกระตุ้นการแสดงออกของยีนซึ่งเป็นยีนถอดรหัสอินเตอร์เฟียรอนประเภทที่ 1 (IFN type I) อันเป็นสารที่มีฤทธิ์ขัดขวางการเพิ่มจำนวนของไวรัส ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ร่างกายส่งสัญญาณการอักเสบเพิ่มขึ้น

หลิวเสี่ยวหม่าน ผู้เขียนร่วมอันดับแรกของงานวิจัยนี้กล่าวว่า “ข้อมูลของเราบ่งชี้ว่ากลไกที่ทำให้เซลล์นิวโมไซต์รวมตัวกันในปอดของผู้ป่วยโควิด-19 อาจจะไปเร่งการผลิตอินเตอร์เฟียรอนและสารไซโตไคน์อื่นๆ ซึ่งจะทำให้โรคมีความรุนแรงยิ่งขึ้น”

ที่มา : Xinhua


ข่าวที่เกี่ยวข้อง