เมื่อคืนที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) เกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเฮติ ขนาด 7.2 แมกนีจูด มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมือง Saint-Louis-du-Sud ราว 12 กม. ที่ระดับความลึก 10 กม. ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้เกิดบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตจากซากอาคารที่พังถล่มลงมาทับแล้วอย่างน้อย 300 คน
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลเฮติ ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากยังคงมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในขณะนี้ และเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งทางการเฮติคาดว่า ยังคงมีผู้บาดเจ็บที่ติดค้างอยู่ใต้ซากอาคารอีกเป็นจำนวนมาก
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเหตุการแผ่นดินไหวในครั้งนี้ มีรายงานการรับรู้ได้กินบริเวณกว้าง ต่อเนื่องไปถึงประเทศคิวบาที่อยู่ใกล้ ๆ กัน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในแถบทะเลแคริบเบี้ยนที่อยู่ใกล้กับเฮติ ซึ่งแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในประเทศเฮติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นถนน อาคารต่าง ๆ เช่น โบสถ์ และหลังจากแผ่นดิวไหวใหญ่แล้ว ก็ยังคงมีเอฟเตอร์ช็อคตามมาอีกหลายครั้ง โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดมีความรุนแรงขนาด 5.2 แมกนีจูด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็นเหตุวิกฤติที่เกิดขึ้นเข้ามาซ้ำท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงไม่แน่นอนหลังการลอบสังหารประธานาธิบดีโจเวเนล ทำให้เฮติต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกลุ่ม-แก๊งค์ต่าง ๆ ในประเทศ
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ ทำให้สถานพยาบาล-โรงพยาบาลต้องรับมือทั้งผู้ป่วยจากโควิด-19 และผู้บาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว จนโรงพยาบาลในเมืองเจเรมี ไม่สามารถรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
อีกทั้งยังมีรายงานว่า พายุโซนร้อน Grace ที่ก่อตัวขึ้นกำลังจะพัดขึ้นฝั่งหมู่เกาะเวอร์จิ้น และเปอโตริโก ในคืนวันอาทิตย์นี้ จะทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายประเทศในภูมิภาค ซึ่งเฮติ เป็นหนึ่งในประเทศที่จะต้องเผชิญกับพายุลูกนี้ด้วย จึงถือได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันสร้างปัญหาให้กับประเทศที่ได้ถือเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปอเมริกา
