บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์ New Range Rover (เรนจ์ โรเวอร์ ใหม่) ยนตรกรรมเอสยูวีระดับเรือธงเจนเนอเรชั่นที่ 5 ครั้งแรกในประเทศไทย ที่มาพร้อมกับการยกระดับทั้งรูปลักษณ์ ฟีเจอร์ และการขับขี่ที่ล้ำสมัยไปอีกขั้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำเอสยูวีหรูที่ดีที่สุดตลอด 5 ทศวรรษ
รูปลักษณ์ใหม่ที่ผสมผสานทั้งดีไซน์ และความทันสมัยที่เรียบง่าย แต่น่าทึ่ง
ก้าวไปอีกขั้นของปรัชญาการออกแบบจากแลนด์โรเวอร์ที่จะตีความหมายของโปรไฟล์ของแบรนด์ที่งดงาม และร่วมสมัยอย่างน่าทึ่ง โดยเกิดจากสามเส้นที่จะย้อนรอยต้นกำเนิดกลับไปตามรุ่นต่าง ๆ ได้แก่ เส้นขอบหลังคาที่พุ่งลง เส้นรอบรถที่เข้มชัด และเส้นฐานประตูที่ยกสูง โดยเส้นขอบตัวถังถูกออกแบบไม่ให้ขาดตอนแสดงให้เห็นความใส่ใจในรายละเอียดของแลนด์โรเวอร์
ผสมผสานกับระยะยื่นหน้าที่สั้นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมไฟหน้าและลวดลายกระจังหน้าที่เกือบเรียบจนดูเป็นเนื้อเดียว มือจับเปิดประตูแบบ Pop-Up ที่เรียบเนียนไปกับประตูรถ และท้ายรถใหม่แบบเรือที่โดดเด่น ครบเครื่องด้วยประตูท้ายบานแยกที่ใช้งานได้จริง ผสมผสานกับไฟเคลือบผิวแบบเรียบเสมอกันที่ซ่อนตัวเมื่อไม่ได้ส่องสว่าง ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างโครงร่างอันสวยงามซึ่งสื่อถึงรูปลักษณ์เหนือชั้นของเรนจ์โรเวอร์
ทั้งหมดนี้ นอกจากจะมอบรูปลักษณ์ที่เรียบง่าย ดูทันสมัยแล้ว ยังช่วยให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านเท่ากับ 0.30 ทำให้รถคันนี้เป็น SUV หรูหราที่ถูกหลักอากาศพลศาสตร์มากที่สุดในโลก
การตกแต่งภายในที่หรูหรามีรากฐานสำคัญจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้งานง่าย และมีความสำคัญ ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เข้ากับวัสดุที่ดีที่สุด และนวัตกรรมเพื่อความสุขสบายอย่างลงตัว เพื่อสร้างสถานที่อันเงียบสงบสำหรับผู้โดยสารทุกคน เปลี่ยนให้ทุกการเดินทางเป็นประสบการณ์เพลิดเพลิน
ลูกค้ามีตัวเลือกวัสดุ และการตกแต่งที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงเนื้อผ้าที่เป็นนวัตกรรมและ Ultrafabrics™ ชนิดสัมผัสร่วมกับความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแลนด์โรเวอร์กับ Kvadrat™ ผู้ผลิตเนื้อผ้าเกรดดีชั้นนำของยุโรป โดยผสมผสานกับ Ultrafabrics™ เพื่อสร้างตัวเลือกวัสดุที่มีความหมายซึ่งเบากว่า และปล่อย CO2 น้อยลงเพียงหนึ่งในสี่ของหนังแบบดั้งเดิม
พิเศษกับ New Range Rover SV ที่จะเพิ่มขอบเขตตัวเลือกให้กับลูกค้าในการสร้างรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างแท้จริง ด้วยทางเลือกของธีมการออกแบบ และตัวเลือกวัสดุที่ออกแบบเฉพาะตัวจากแผนก Special Vehicle Operations เพื่อสร้างเรจน์โรเวอร์โฉมใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่สวยงาม หรูหรา และโดดเด่นเฉพาะตัว
สะดวกสบายเหนือชั้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
เริ่มจากไฟหน้า LED แบบดิจิทัลความละเอียดสูง ให้ช่วงลำแสงไกลมากถึง 500 เมตร พร้อมเทคโนโลยีไฟหน้าแบบปรับอัตโนมัติ (Adaptive Front Lighting) สามารถเลือกทอดเงาลงบนวัตถุได้มากถึง 16 ชิ้น เพื่อลดการรบกวนสายตามจากผู้ใช้ถนนรายอื่น ๆ และไม่ลดทอนทัศนียภาพในการขับขี่ในเวลากลางคืน เทคโนโลยีเบี่ยงแสงไฟแบบคาดการณ์ขณะขับขี่ (Predictive Dynamic Bending Light) โดยใช้ข้อมูลการนำทางเพื่อปรับลำแสงสำหรับมุมถนนที่เข้ามาใกล้ตลอดเวลาบนท้องถนน และเทคโนโลยีการฉายภาพเมื่อสตาร์ทเครื่องสุดล้ำสมัย
ไฟช่วยขับขี่ (Manoeuvring Light) แบบใหม่ช่วยให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำในสภาพแวดล้อมแสงน้อยได้อย่างมั่นใจ ด้วยการสาดแสงรอบบริเวณของรถยนต์ ทำงานร่วมกับระบบกล้องรอบด้าน 3 มิติเพื่อให้ความคล่องตัวที่ง่ายดาย
เทคโนโลยีลำโพงขั้นสูงพร้อมระบบเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมอริเดียน 1,600 วัตต์ พร้อมลำโพงเสริม 20 วัตต์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 60 มิลลิเมตร ในพนักพิงศีรษะหลักทั้งสี่ เพื่อมอบประสบการณ์ดื่มดำไปกับเสียงเพลงโปรด
ควบคู่กับเทคโนโลยีระบบตัดเสียงรอบข้าง (Active Noise Cancellation) ที่ผสานร่วมกับสถาปัตยกรรมตัวถัง MLA-Flex โดยจะตรวจสอบการสั่นสะเทือนของล้อ เสียงยาง และเสียงเครื่องยนต์ที่ส่งเข้ามาในห้องโดยสาร เพื่อสร้างสัญญาณตัดเสียงซึ่งเล่นผ่านลำโพง 35 ตัวของระบบ เพื่อตัดเสียงรบกวน สร้างโซนเงียบส่วนตัวคล้ายกับผลที่ได้เมื่อใช้หูฟังระดับไฮเอนด์จนแทบเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในห้องโดยสารที่เงียบสงบที่สุดบนท้องถนน
New Range Rover นำตลาด SUV หรูหราไปสู่อีกระดับของความสุขสบาย ด้วยระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร (Cabin Air Purification Pro) ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี nanoeTM X แบบคู่สำหรับการลดสารก่อภูมิแพ้และการกำจัดเชื้อโรค เพื่อช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และไวรัสจำนวนมาก ในขณะที่ระบบจัดการ CO2 และการกรองอากาศ PM2.5 ในห้องโดยสารช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศ
ที่สำคัญ เทคโนโลยี nanoeTM X ขั้นสูงได้ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วว่าสามารถลดไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างมาก รวมไปถึงไวรัส SARS-CoV-2
นอกจากนี้ ยังมีระบบการอัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติแบบ Over-The-Air (SOTA) สำหรับโมดูลอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 70 โมดูล นั่นหมายความว่าเรนจ์โรเวอร์รุ่นใหม่จะพัฒนาปรับปรุงและยังคงทันปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง
เติมเต็มความสุขการเดินทางด้วยเทคโนโลยีมัลติมีเดียใหม่
เรนจ์โรเวอร์รุ่นใหม่ยกระดับเทคโนโลยีอินโฟเทนเมนต์ Pivi Pro ที่ได้รับรางวัลของแลนด์โรเวอร์ ด้วยหน้าจอสัมผัสที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา หน้าจอแบบลอยขนาด 13.1 นิ้ว ที่โค้งมน เพื่อให้การควบคุมระบบต่าง ๆ เหมาะสมต่อสรีระ ใช้งานง่าย คล่องตัว ไปพร้อมกับการผสานความงดงาม ล้ำสมัย รวมถึงอินเทอร์เฟซที่ออกแบบมาคล้ายคลึงสมาร์ทโฟน และฮาร์ดสวิตช์ควบคุมอุณหภูมิระบบปรับอากาศที่ออกแบบให้ใช้งานได้ยิ่งขึ้น
Pivi Pro ทำงานอย่างกลมกลืนร่วมกับจอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่แบบโต้ตอบขนาด 13.7 นิ้ว แบบกึ่งลอยใหม่อันสวยงาม พร้อมคุณสมบัติกราฟิกความละเอียดสูงรูปแบบใหม่ และเป็นครั้งแรกของแลนด์โรเวอร์ที่จอแสดงผลส่วนกลางจะให้การตอบสนองแบบสัมผัสเมื่อแตะที่หน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องเหลือบมองที่หน้าจอ ช่วยลดความจำเป็นในการละสายตาจากท้องถนนและทำให้ Pivi Pro ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นไปในตัว
ผู้โดยสารแถวหลังสามารถเพลิดเพลินไปกับระบบความบันเทิงที่เบาะหลัง (RSE) โฉมใหม่ ซึ่งมีหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 11.4 นิ้วแบบปรับได้ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของเบาะพิงด้านหน้า ที่ทำงานได้อย่างอิสระจากกัน และรองรับการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่มีพอร์ต HDMI พร้อมฮอตสปอต Wi-Fi ในตัว เพื่อรองรับการเชื่อมต่อสตรีมมิ่ง
อุปกรณ์ควบคุมหน้าจอสัมผัสบนที่นั่งเบาะหลังขนาด 8 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่บนที่เท้าแขนตรงกลางที่นั่งเบาะหลังแบบ Executive Class ให้การควบคุมที่รวดเร็วและง่ายดายเพื่อตำแหน่งที่นั่งที่สมบูรณ์แบบ ยกระดับประสบการณ์หรูหราให้กับที่นั่งแถวหลัง
พร้อมลุยทุกเส้นทางด้วยเทคโนโลยีช่วงล่างใหม่
ด้วยสถาปัตยกรรมตัวถัง MLA-Flex แบบใหม่ใน New Range Rover เป็นตัวแทนของผสมผสานประสิทธิภาพการขับขี่ระหว่างระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ขั้นสูง ที่สามารถปรับแต่งระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ทั้งระบบให้เหมาะกับทุก ๆ การเดินทางในเส้นทางที่หลากหลาย
เรนจ์โรเวอร์รุ่นใหม่ทุกคันมีระบบพวงมาลัยสี่ล้อเพื่อการขับขี่ที่ง่ายดาย ด้วยเพลาหลังที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าให้มุมบังคับเลี้ยวสูงถึง 7 องศา และหมุนในมุมที่ต่างกับล้อหน้าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ทำให้มีวงเลี้ยวที่น้อยกว่า 11 เมตร ซึ่งแคบที่สุดในบรรดาแลนด์โรเวอร์ และเมื่อขับด้วยความเร็วสูงเพลาหลังจะหมุนตามล้อหน้าเพื่อเสถียรภาพ และความสะดวกสบายที่มากขึ้น
เทคโนโลยีช่วงล่างใหม่ล่าสุด Dynamic Response Pro ระบบป้องกันการพลิกคว่ำแบบอิเล็กทรอนิกส์แบบเชิงรุก 48 โวลต์ ด้วยแรงบิดสูงสุด 1,400 นิวตันเมตร ที่อัดเข้าสู่บาร์ป้องกันการหมุน ที่ตอบสนองได้เร็ว มีประสิทธิภาพมากกว่าระบบไฮดรอลิก เพื่อให้การเคลื่อนไหวของตัวถังยังอยู่ภายใต้การควบคุม
เทคโนโลยีอัจฉริยะยังทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ด้วยระบบช่วยบังคับเลี้ยว (Steering Assist) เพื่อให้การเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงความเร็วกะทันหันของตัวยานพาหนะเป็นไปอย่างราบรื่น
ระบบช่วงล่างแบบอิสระโดยสมบูรณ์ ที่ทำงานร่วมกันระหว่างโช้คอัพถุงลมชั้นนำ ร่วมกับแดมเปอร์วาล์วคู่ ซอร์ฟแวร Adaptive Dynamic ที่พัฒนาขึ้นมาเอง และมีเพลาหลังแบบแขนห้าก้านตัวแรกของแลนด์โรเวอร์ ซึ่งแยกห้องโดยสารจากพื้นผิวที่ไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย
ระบบส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันชาญฉลาด (iAWD) ควบคุมโดยระบบ Intelligent Driveline Dynamics (IDD) ของแลนด์โรเวอร์ ซึ่งทำงานตรวจสอบระดับการยึดเกาะและการสั่งการของผู้ขับขี่ 100 ครั้งต่อวินาที เพื่อคาดการณ์กระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังและกระจายไปทั่วเพลาหลัง เพื่อแรงยึดเกาะที่ดีที่สุดทั้งบนทางราบเรียบและทางขรุขระ
เรนจ์โรเวอร์ทุกคันยังมีระบบล็อกเฟืองท้ายแบบเชิงรุก มีหน้าที่ปรับแรงยึดเกาะจากเพลาหลังในระหว่างการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงบนพื้นผิวที่ลื่นและในระหว่างการหักล้อบนทางขรุขระเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่
และระบบช่วงล่างแบบล่วงหน้าที่ใช้ข้อมูล eHorizon Navigation ในการอ่านถนนข้างหน้า และปรับสภาพระบบช่วงล่างให้ตอบสนองอย่างสมบูรณ์แบบ
ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ ที่มอบความทรงพลัง ประหยัด ปลอดมลพิษ
New Range Rover มาพร้อมขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ ที่ผสานเข้ากับระบบขับเคลื่อนสถาปัตยกรรมตัวถัง MLA-Flex เพื่อถ่ายทอดทั้งสมรรถนะ และการบริโภคพลังงานที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพการขับขี่ โดยเฉพาะ เครื่องยนต์เบนซินตระกูล Ingenium 6 สูบเรียง เข้ากับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 38.2kWh และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 105kW ที่รวมเข้ากัน โดยให้สมรรถนะตั้งแต่ 440 – 510 แรงม้า แรงบิด 550 – 620 นิวตันเมตร ขึ้นกับรุ่นย่อย และปล่อยก๊าซ CO2 โดยรวมต่ำกว่า 30 กรัมต่อกิโลเมตร
และเมื่อเลือกใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการขับขี่อย่างเดียว สามารถเดินทางได้ไกลตั้งแต่ 80 – 100 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับการขับขี่ภายในเมืองที่ปลอดมลพิษ และการออกแบบแบตเตอรี่ไว้ใต้รถยนต์ จึงมั่นใจได้ว่าทั้งพื้นที่สัมภาระ และสมรรถนะสำหรับทุกภาคพื้นจะไม่ด้อยลง
และยังมีเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 350 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร ให้ได้เลือกเพิ่มเติมด้วย
รุ่นและราคา
- 3.0 Petrol Plug-In Hybrid SWB AWD Autobiography Plus ราคา 11,499,000 บาท
- 3.0 Petrol Plug-In Hybrid SWB AWD SV Plus ราคา 15,999,000 บาท
- 3.0 Petrol Plug-In Hybrid LWB AWD Autobiography Plus ราคา 11,999,000 บาท
- 3.0 Diesel LWB AWD Autobiography Plus ราคา 15,999,000 บาท
พร้อม LAND ROVER CARE นาน 5 ปี ประกอบด้วยการรับประกันคุณภาพ บริการบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี