คัดลอก URL แล้ว
“ต่อไปจะเป็นมหารานี” คำทำนายจากแขกเลี้ยงวัว พระราชประวัติแห่งพระพันปีหลวง

“ต่อไปจะเป็นมหารานี” คำทำนายจากแขกเลี้ยงวัว พระราชประวัติแห่งพระพันปีหลวง

ในห้วงเวลาแห่งความอาลัยต่อการสวรรคติของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง ปวงชนชาวไทยต่างร่วมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ และพระเมตตาที่แผ่ไพศาลตลอดพระชนมชีพของพระองค์ หนึ่งในเรื่องเล่าที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นและน่าอัศจรรย์ คือคำทำนายจากแขกเลี้ยงวัวในวัยเยาว์ของพระองค์ ที่กล่าวไว้ว่า “เด็กหญิงคนนี้จะเป็นมหารานี” – คำทำนายที่กลายเป็นจริงในอีก 15 ปีต่อมา

พระราชประวัติของสมเด็จพระพันปีหลวงมิได้เป็นเพียงเรื่องราวของราชวงศ์ หากแต่เป็นบทบันทึกแห่งความรัก ความเสียสละ และความเป็นแม่ของแผ่นดิน ที่ยังคงอยู่ในหัวใจของประชาชนตราบนานเท่านาน

อยู่ไกลบิดามารดาตั้งแต่อายุน้อย – เสี้ยวหนึ่งของวัยเยาว์ที่เปี่ยมด้วยความเข้มแข็ง

แม้จะทรงถือกำเนิดในครอบครัวที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ แต่ชีวิตในวัยเยาว์ของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์กลับต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบ้านเมือง เพียงไม่กี่เดือนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หม่อมเจ้านักขัตรมงคล พระบิดา ต้องออกจากราชการทหาร และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการเอก ณ สถานทูตสยาม กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา

ขณะนั้น หม่อมหลวงบัว พระมารดา กำลังทรงครรภ์แก่ จึงยังมิได้เดินทางตามไปทันที และหลังจากให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เพียง 3 เดือน ก็จำต้องฝากพระธิดาไว้ในความดูแลของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ และท้าววนิดาพิจาริณี บิดาและมารดาของพระมารดา เพื่อเดินทางไปสมทบพระสวามี
ช่วงเวลานั้นจึงเป็นบทเริ่มต้นของการอยู่ห่างจากบิดามารดาในวัยเยาว์ ซึ่งแม้จะเต็มไปด้วยความคิดถึง แต่ก็หล่อหลอมให้พระองค์ทรงเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

บางคราว พระองค์ต้องเสด็จไปต่างจังหวัด เช่นในปี พ.ศ. 2476 หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร พระอัยยิกา ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปยังจังหวัดสงขลา เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่พระองค์ได้สัมผัสกับโลกกว้างตั้งแต่วัยเยาว์

วังเทเวศร์ – บ้านริมเจ้าพระยา และการกลับมาพร้อมหน้าของครอบครัว

ปลายปี พ.ศ. 2477 หลังจากห่างไกลกันมานาน หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจากราชการในต่างประเทศและเสด็จกลับประเทศไทย พร้อมนำความอบอุ่นกลับคืนสู่ครอบครัวเล็ก ๆ ที่เคยต้องแยกจากกัน

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ซึ่งขณะนั้นมีพระชันษา 2 ปี 6 เดือน ได้กลับมาอยู่ร่วมกับพระบิดาและพระมารดา ณ ตำหนักในวังเทเวศร์ บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เงียบสงบ บริเวณถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม

ที่นี่เองคือสถานที่ที่พระองค์ทรงเติบโตขึ้นท่ามกลางความรัก ความอบอุ่น และการปลูกฝังคุณค่าทางจิตใจจากครอบครัว เป็นวังที่มิใช่เพียงที่ประทับ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันงดงามที่โลกจะได้รู้จักในนาม “ราชินีสิริกิติ์”

การศึกษา — เส้นทางแห่งการเรียนรู้และศิลปะที่หล่อหลอมพระอัธยาศัย

พ.ศ. 2479 เมื่อหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มีพระชันษาได้ 4 ปี พระองค์ทรงเริ่มต้นการศึกษาในชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี — เป็นก้าวแรกของการเรียนรู้ในโลกภายนอก ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่เพิ่งสงบลงจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่โลกภายนอกกลับเริ่มปั่นป่วนจากสงครามมหาเอเชียบูรพา

เมื่อกรุงเทพมหานครถูกโจมตีทางอากาศหลายครั้ง การคมนาคมเริ่มติดขัด พระบิดาจึงทรงตัดสินใจให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ซึ่งอยู่ใกล้ตำหนักของพระบิดา — ที่นั่นพระองค์ทรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จนถึงชั้นมัธยมศึกษา และเริ่มแสดงพระอัจฉริยภาพด้านดนตรี โดยเฉพาะเปียโน ซึ่งทรงเรียนได้เร็วและคล่องแคล่วเป็นพิเศษ

นอกจากดนตรีแล้ว พระองค์ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจริงจัง และทรงสันทัดในทั้งสองภาษา เป็นพื้นฐานสำคัญที่ต่อยอดสู่บทบาทในระดับนานาชาติในภายหลัง

พ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำสำนักเซนต์เจมส์ ณ ประเทศอังกฤษ และทรงพาครอบครัวไปอยู่ด้วย หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ซึ่งมีพระชันษา 13 ปีเศษ และเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว จึงได้เปิดประตูสู่โลกกว้างอีกครั้ง

ในประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงศึกษาต่อด้านภาษาและดนตรีอย่างต่อเนื่อง โดยมีครูพิเศษถวายการสอนเปียโนอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นไม่นาน พระบิดาทรงย้ายไปดำรงตำแหน่งในประเทศเดนมาร์กและฝรั่งเศสตามลำดับ — และที่กรุงปารีส หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ทรงตั้งพระทัยจะศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียง เพื่อสานต่อความรักในเสียงเพลงและศิลปะอย่างเต็มที่

เส้นทางการศึกษาของพระองค์จึงมิใช่เพียงการเรียนรู้ในห้องเรียน หากแต่เป็นการเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมหลากหลาย ความเปลี่ยนแปลงของโลก และการหล่อหลอมพระอัธยาศัยที่งดงาม — เป็นรากฐานของราชินีผู้เปี่ยมด้วยศิลปะและความเข้าใจในหัวใจของประชาชน

Roi du Siam ภาพภ่ายในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยช่างภาพนิตยสาร LIFE

ดนตรีและศิลปะ — จุดเริ่มต้นของสายใยแห่งความรัก

ในช่วงเวลาที่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ประทับอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความงดงามแห่งศิลปะ ทรงศึกษาดนตรีอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเปียโน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่พระองค์ทรงโปรด และยังทรงสนใจศิลปะในแขนงต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งขณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ก็ทรงโปรดดนตรีเป็นพิเศษเช่นกัน — โดยเฉพาะแซกโซโฟนและการประพันธ์เพลง

เมื่อปี พ.ศ. 2491 พระองค์เสด็จประพาสกรุงปารีสเพื่อทอดพระเนตรโรงงานผลิตรถยนต์ ครอบครัวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส จึงได้มาเฝ้ารับเสด็จ และนั่นคือช่วงเวลาที่สายใยแห่งความผูกพันเริ่มต้นขึ้น ดนตรีและศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อมใจของทั้งสองพระองค์
ในครั้งนั้น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ทรงมีรับสั่งให้พระราชโอรสทอดพระเนตรหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ด้วยความสนพระทัยว่า “สวยน่ารักไหม” ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้บันทึกไว้ในหนังสือ เป็น อยู่ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ถึงปารีสแล้ว ทรงโทรศัพท์กลับไปยังพระราชชนนีด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ที่เต็มไปด้วยความประทับใจว่า:

“เห็นแล้วน่ารักมาก”

คำรับสั่งนั้น แม้เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยความหมาย — เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ต่อมาได้กลายเป็นสายใยแห่งชีวิตคู่ที่มั่นคงและงดงามที่สุดบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย

แสงแห่งความห่วงใย — จากอุบัติเหตุสู่สายใยแห่งหัวใจ

วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังทรงศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียต ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา ทำให้พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส

แม้จะได้รับการถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่พระอาการแทรกซ้อนที่พระเนตรขวาก็ยังไม่ทุเลา จนในที่สุด คณะแพทย์วินิจฉัยว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านพระเนตรขวาได้อีก และจำเป็นต้องทรงพระเนตรปลอม

ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและการพักฟื้นนั้น หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงในฐานะผู้ใกล้ชิด แต่ในฐานะผู้ที่มีหัวใจเปี่ยมด้วยความห่วงใยและมั่นคง

สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระนามในขณะนั้น) ทรงเห็นถึงความเหมาะสมและความผูกพันของทั้งสองพระองค์ จึงทรงรับเป็นธุระจัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประจำ Pensionnat Riante Rive ในเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้สามารถอยู่ใกล้ชิดและถวายการดูแลพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างใกล้ชิด

เมื่อพระอาการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางบททดสอบของโชคชะตาก็ยิ่งแน่นแฟ้น และในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ทั้งสองพระองค์ก็ทรงหมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการภายใน ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

แม้จะทรงหมั้นแล้ว หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ยังคงตั้งพระทัยศึกษาต่ออย่างมุ่งมั่น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2493 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนคร เพื่อทรงร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระองค์ก็ทรงโปรดให้หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ตามเสด็จกลับประเทศไทยด้วย

และนั่นคือก้าวแรกสู่บทใหม่ของชีวิต บทที่โลกจะได้รู้จัก “สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์” อย่างเป็นทางการในอีกไม่ช้า

28 เมษายน 2493 — พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสแห่งความรักและราชประเพณี

รุ่งอรุณแห่งวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 คือวันแห่งความปีติยินดีของปวงชนชาวไทย เมื่อพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสง่างาม ณ วังสระปทุม

ภายในพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในทะเบียนสมรส และโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ พร้อมด้วยสักขีพยาน ลงนามในทะเบียนสมรสเคียงกัน เป็นช่วงเวลาแห่งความผูกพันที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

จากนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จออกในพระราชพิธีถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่ทั้งสองพระองค์ ตามโบราณราชประเพณีอันทรงคุณค่า เป็นการประสาทพรให้ชีวิตคู่เปี่ยมด้วยสิริมงคล

ในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์” พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นการเฉลิมพระเกียรติยศแห่งพระอัครมเหสีผู้จะทรงเคียงข้างพระราชาในทุกบทบาทของแผ่นดิน

พระราชโอรสและพระราชธิดา — ความรักของแม่ที่หล่อหลอมหัวใจของแผ่นดิน

หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสไม่นาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงเริ่มบทบาทใหม่ที่สำคัญยิ่ง — บทบาทของ “แม่” ผู้หล่อหลอมพระราชโอรสและพระราชธิดาด้วยพระเมตตาอันลึกซึ้ง ความรักอันมั่นคง และความใส่ใจในทุกช่วงชีวิต

พระองค์ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 4 พระองค์ ได้แก่:

แม้จะทรงดำรงพระอิสริยยศอันสูงส่ง แต่ภายในครอบครัว พระองค์คือ “แม่สิริ” ที่อบอุ่น อ่อนโยน และทรงใส่ใจในทุกเรื่องเล็กน้อยของลูก ๆ ทรงปลูกฝังคุณธรรม ความรักชาติ และความเมตตาให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาอย่างลึกซึ้ง

พระราชกรณียกิจโดยสังเขป

บทบาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงผนวชเป็นพระภิกษุ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้วยพระปรีชาสามารถอย่างสง่างาม จนได้รับการเฉลิมพระอภิไธยเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” อย่างเป็นทางการ

ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและอาชีพ
ทรงเสด็จพระราชดำเนินเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทั่วทุกภูมิภาค เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชน ส่งเสริมอาชีพและความเป็นอยู่ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ในชนบทห่างไกล

ฟื้นฟูศิลปาชีพไทย
ทรงก่อตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในพระบรมราชินูปถัมภ์” เพื่อฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วประเทศ

ด้านสาธารณสุขและมนุษยธรรม
ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทย และทรงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยพระราชทานครูสอนวิชาชีพและสนับสนุนการทำงานร่วมกับกาชาดสากล

อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทรงสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

พระราชกรณียกิจด้านการทหาร
ทรงดำรงตำแหน่งพันเอกผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ และทรงติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมพระราชทานคำแนะนำในการปฏิบัติงานเป็นประจำ

พระพลานามัย – จากวันแห่งความเข้มแข็ง สู่ห้วงสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ

เช้าตรู่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเวียนพระเศียรและเซขณะทรงออกพระกำลัง ณ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในขณะนั้น คณะแพทย์ถวายการตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพเรโซแนนซ์แม่เหล็ก และแถลงว่าทรงประสบภาวะพระสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) จึงต้องประทับรักษาพระวรกายและงดเว้นพระราชกิจนับแต่นั้น

ต่อมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเผยว่า พระอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ทรงพระดำเนินได้คล่องแคล่วและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แม้ยังต้องเว้นพระราชกิจตามคำแนะนำของคณะแพทย์

วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล พร้อมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และวันที่ 7 สิงหาคม สำนักพระราชวังแถลงว่าทรงปวดพระอังสาและข้อพระกรซ้าย คณะแพทย์ตรวจพบว่าพระนหารูอักเสบ จึงถวายพระโอสถและกายภาพบำบัด
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระองค์เสด็จฯ ตามพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชออกจากโรงพยาบาลศิริราช โดยทรงโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ เป็นภาพที่สะท้อนถึงพระเมตตาและความแข็งแรงของพระพลานามัยในขณะนั้น หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ผู้ถวายงาน ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรงดี

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562 สมเด็จพระพันปีหลวงได้เสด็จฯ ไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อถวายการตรวจติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ซึ่งคณะแพทย์พบความผิดปกติหลายประการ และต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568 คณะแพทย์ถวายรายงานว่าพระอาการทรุดลง และในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จสวรรคตอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริพระชนมพรรษา 93 ปี

พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่ของแผ่นดิน ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนไทยตราบนานเท่านาน


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง