การฝังศพและการเผาศพ มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากการฝังศพต้องมีการดองในสารละลายที่เป็นพิษ บวกกับการใช้ที่ดินอย่างไม่มีกำหนด และการเผาศพส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายล้านตันต่อปี ซึ่งในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา อัตราการเผาศพในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 57%
ทั้งนี้ในสหรัฐฯ มีธุรกิจการทำบริการการจัดการศพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวะล้อม หรือ ที่เรียกว่า “ปุ๋ยหมักมนุษย์” ให้ร่างผู้เสียชีวิตย่อยสลายอินทรีย์ตามธรรมชาติ (natural organic reduction)
ในปี 2019 วอชิงตันเป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ ที่ผ่านกฎหมายการจัดการศพด้วยการทำ ปุ๋ยหมักมนุษย์ ได้รับอนุญาตตามกฎหมายใน 6 รัฐ ณ เดือนธันวาคม 2565 ดังนี้
- วอชิงตัน (อนุมัติในเดือนพฤษภาคม 2019 มีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2020)
- โคโลราโด (อนุมัติในเดือนพฤษภาคม 2564 มีผลในวันที่ 8 สิงหาคม 2564)
- รัฐโอเรกอน (อนุมัติในเดือนมิถุนายน 2021 มีผลในวันที่ 1 มกราคม 2022)
- รัฐเวอร์มอนต์ (อนุมัติในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 มีผลในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566)
- รัฐแคลิฟอร์เนีย (อนุมัติเมื่อ 18 กันยายน 2022 มีผลบังคับใช้ในปี 2027)
- นิวยอร์ก (อนุมัติเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 อยู่ระหว่างการดำเนินการด้านกฎระเบียบเพิ่มเติม)
ขั้นตอนการเก็บศพให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์
นำร่างผู้เสียชีวิตเก็บในเหล็กรูปทรงกระบอก (ซึ่งรูปทรงกระบอกนั้นนำกลับมาใช้ซ้ำได้) แล้วกลบร่างด้วยเศษไม้สับชิ้นเล็ก ๆ ฟาง และพืชตระกูลถั่ว ที่เรียกว่า “อัลฟัลฟา”(alfalfa)
ควบคุมระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ออกซิเจน ความร้อน และความชื้นในช่องเก็บศพเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการย่อยสลายลงอย่างสมบูรณ์ประมาณ 30 วัน จะมีดินปุ๋ยประมาณ 3 ลูกบาศก์ฟุตต่อการย่อยสลายศพ 1 ร่าง หลังจากนั้นร่างก็จะกลายเป็นดินปุ๋ยนำไปใช้ปลูกต้นไม้และทำสวนได้
Return Home บริษัทผู้ให้บริการนี้ในรัฐวอชิงตันให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ว่า กฎหมายนี้ในรัฐนิวยอร์กถือเป็น “ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการเข้าถึงบริการจัดการศพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศ”
ค่าใช้จ่ายในการทำศพ
ในนครซีแอตเทิลการจัดการศพด้วยวิธีย่อยสลายตามธรรมชาติดังกล่าวมี ค่าบริการประมาณ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาประมาณ 239,568 บาท ซึ่งไม่ต่างจากวิธีจัดการศพแบบอื่น ๆ
ข้อมูลที่มา