เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยมันเลี้ยงชีพได้จริงหรือ คนที่น่าจะบอกเล่าอธิบายได้ดีที่สุด น่าจะเป็น แพทตี้ แห่งเพจ Forever on vacation ผู้ติดตามหลักแสน Blogger สาวผู้วางคอนเซ็ปต์ชีวิตไว้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อการท่องเที่ยว แม้ชีวิตจริงเราจะเที่ยวทุกวันไม่ได้แต่คนเราก็มีสิทธิ์จะฝันนี่นา
แพทนิยามเพจไว้สั้นๆว่าเป็นผู้หญิงที่มีวันพักร้อน 365 วันต่อปี เป็นเพจที่รวมตัวของคนที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว มีภาพสวยๆพร้อมรีวิวในสไตล์ของตัวเอง แต่ละเดือนได้พาลูกเพจไปในสถานที่ที่สวยงามและแหล่งน่าเช็คอินมากมายทั้งในและต่างประเทศ
วันนี้เธอจะมาบอกเล่าเรื่องราวที่ไปเจอและประสบการณ์ในอาชีพนี้ให้เราฟัง
แรกเริ่มเลยหน้า Instragram แพทจะเป็นภาพท่องเที่ยวเสียส่วนใหญ่แทบจะทุกสัปดาห์คนที่มาคอมเมนท์หรือคุยกับเราก็จะหน้าเดิมๆ จนกลัวว่า Follower บางคนที่ไม่อินกับเราน่าจะเบื่อ เลยคิดว่าไปเปิดเพจดีกว่า จะได้มีที่โล่งๆ ได้เจอคนคอเดียวกันมาคุยเรื่องเดียวกัน นี่คือแฟลชแบ็กไปยังจุดเริ่มต้นครั้งนั้นที่ทำให้เพจเกิดขึ้น แพทเล่าถึงความสนุกสนานช่วงเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม
“หลังจากเที่ยวไปทำเพจไปได้ราวๆหนึ่งปีก็เริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามา ทีนี้ก็ทำจริงจัง รีวิวคาเฟ่ โรงแรมต่อรัวรัวเลยค่ะ”
ในแวดวง Blogger สาย Life style travel แพทน่าจะติดโผเรื่องความเวอร์วังอลังการอยู่นิดหนึ่ง ช่วงแรกบล็อกเกอร์ชะนีน้อย ใส่ชุดมุ้งมิ้งกรุยกรายรีวิวสถานที่นู่นนี่ไม่ค่อยมีหรอก อาจเพราะเราชอบเที่ยวสบายด้วย ไม่ใช่แนวลุย Trekking เดินป่าสะพายกล้องยักษ์ข้ามภูเขา เราชอบถ่ายภาพสวยๆชุดสวย ผสมผสานอาร์ตหน่อยๆ ซึ่งบ่งบอกตัวตนความเป็นเราได้อย่างชัดเจน นี่น่าจะเป็นภาพที่คนเริ่มจำเพจเราได้
สิ่งที่เราทำค่อนข้างใหม่ถ้ามองย้อนไปช่วง 6-7 ปีที่แล้ว หลังๆมา Blogger ก็เริ่มมีความนิยมเพิ่มมากขึ้น เพจส่วนใหญ่จะใส่ lifestyle ตัวเองเข้าไป ต่างคนต่างมีแนวทางและจุดเด่นเพจของตัวเอง โปรดักต์ของเราก็คือเรานั่นแหละ คล้ายการ Matching หาคู่เหมือนกัน ลูกค้าส่วนใหญ่จะเห็นว่าเราเหมาะกับสินค้าหรือบริการของเค้าจริงๆ ส่วนมากแพทจะได้สินค้าแนว Luxury brand หน่อยๆเช่น รถยนต์ ครีมเค้าท์เตอร์แบรนด์ เรทราคาก็จะต่างกันไปแล้วแต่รายละเอียดด้วย ว่าภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว บางงานต้องทำเองทั้งหมด ช่วยคิดคอนเทนท์ เป็นครีเอทีฟเอง เหมือนเราเป็นเอเจนซี่เล็กๆเลยค่ะ บางงานลูกค้ามีทุกอย่างให้อยู่แล้วเราแค่สวมตัวเองลงไปก็จะง่ายหน่อย
มาตรฐานในการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงแรกๆอาจมีเครียดบ้างตั้งมาตรฐานไว้สูง แต่พอย้อนมาถามตัวเองว่าเพจเราเริ่มต้นมาจากการที่เราชอบเที่ยวแล้วแชร์ เราแฮปปี้เอ็นจอย มีความสุขก็พอแล้ว
วางอะไรที่แบกไว้จะง่ายที่สุด พอวางได้ คิดได้ จบเลยคือทำเอาสนุก เที่ยวให้มีความสุขค่ะ ไม่หวังอะไรเยอะ ไม่ได้อยากเด่นดัง ไม่ต้องแข่งกับใคร ไม่ต้องเป็นเบอร์ 1 ทุกเรื่องก็ได้
การแข่งขันสูงมั้ยคะ
เราอยู่ตรงนี้โดยไม่คิดว่าต้องแข่งกับใครเลย เป็นคอนเนคชันเพื่อนๆกันเสียมากกว่า Blogger มีความดรีมทีมมาก จากที่ได้เจอส่วนมากจะเต็มไปด้วยคนชิลล์อารมณ์ดี มีแต่รอยยิ้มให้กันและสนับสนุนกันดีมากๆ เป็นวงการที่น่ารัก เราช่วยกันแชร์ ช่วยกันโปรโมทเต็มที่
มีบ้างมั้ยเนื้องานที่ไม่ถูกจริตแต่ต้องทำ
ไม่ค่อยมีค่ะ เพราะเราสกรีนงานด้วยตัวเองอยู่แล้ว มีบ้างเรื่องความคาดหวังจากลูกค้าแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเครียดอะไร อุปสรรคการทำงานที่ท้าทายในช่วงนี้ที่มากกว่าทุกเรื่องคือ การเดาทางของทีม Facebook พี่ Mark Zuckerberg นี่เเหละ บางทีเขากำลังแข่งกับยูทูบ ใครมาสาย Live ก็จะปังมาก ส่วนคอนเทนท์เราจมหายไปเลยคนไม่เห็น ไม่ขึ้นหน้าฟีด หรือเป็นไปได้ว่าอาจดันเพจหน้าใหม่ๆมากกว่าเพจที่อยู่มานานแล้ว ก็ fail เหมือนกันนะ ยิ่งงานที่ได้บรีฟจากลูกค้ามา เราตั้งใจเขียน คิดคอนเทนท์ทั้งวันทั้งคืน ต่างคนต่างคาดหวังแต่ Engagement น้อยมาก เราไม่รู้เลยว่ากลุ่มเป้าหมายเราได้เห็นหรือเปล่า
เคยเจอ Drama คอมเมนต์ หรือมีวิธีป้องกันตัวเองอย่างไรบ้าง
ก็หลีกเลี่ยงค่ะ เรียนรู้ว่าเรื่องแบบไหนจะเซนซิทีฟ เช่น สถานที่สำคัญทางศาสนา เราจะไปสะบัดกระโปรงก็ไม่งาม เรื่องนี้สอนกันไม่ได้ บางอย่างเป็น Common Sense ต้องเจอกับตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ลูกเพจน่ารักทุกคน คอมเมนท์จะเป็นบวกมากกว่าลบ
ประสบการณ์อันแสนจะลืมไม่ลงมีมั้ยคะ
ต้องเรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมากดีกว่าค่ะ ตอนไปเที่ยวอิตาลี เริ่มตั้งแต่ขึ้นเครื่องเลยตั๋วขากลับไม่คอนเฟิร์มเลยต้องจองใหม่แล้วแคนเซิลภายหลังถึงได้ขึ้นเครื่อง งงมาก วันแรกมาถึงรับรถเสร็จขับออกมา5นาทีรถชนเลย เปลี่ยนคันที่สอง กำลังถ่ายภาพที่หอเอนปิซ่ากระเป๋าโดนขโมยทั้งใบ กล้องเงินพาสปอร์ต กุญแจรถ ต้องวุ่นวายแจ้งตำรวจ พอถึงโรงแรมโดนใบสั่งขับรถเร็วเกินกำหนดอีก เฉพาะค่าปรับเกือบห้าหมื่นบาท น่าจะเป็นทริปที่โหดสุดในชีวิตเลย
เที่ยวมาหลายทวีปทั่วโลกมีที่ชอบเป็นพิเศษไหม และเห็นอะไรบ้างที่มีความแตกต่างจากเมืองไทย
เป็นบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวโดนถามบ่อยมากว่าชอบที่ไหนที่สุด แพทตอบแบบเดิมเสมอ คือชอบที่ที่ยังไม่เคยไป และหลงรักที่นั่นหรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าไปกับใคร ทุกที่ที่ไปก็มีความสวยและมีความพิเศษแตกต่างกันไป ที่ต่างประเทศจะมีความหนาวเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตมากเหมือนกัน มืดไวกว่าด้วย บางทีหิมะตกหนักถนนปิด ตอนเด็กๆได้ใช้ชีวิตวัยเรียนช่วงสั้นๆที่อเมริกา จำได้ว่าหนาวแบบติดลบทรมานมาก ข้อดีของบ้านเราคืออากาศดี เดินทางได้ตลอดทั้งปี
ตั้งแต่มีลูกแพทมองเห็นสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนเลยคือ สนามเด็กเล่น ที่เมืองนอกจะเยอะมีพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะที่ใช้งานได้จริงและปลอดภัยสำหรับเด็กๆ มันตอบโจทย์คุณแม่อย่างเรามาก ที่ไทยเราต้องเข้าห้างเพื่อไปหาที่เล่นในห้องแอร์ คุณภาพชีวิตแบบชาวเมืองที่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM 2.5 ทำให้มันยิ้มไม่ออกเหมือนกันนะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไขจริงๆค่ะ
ในสังคมทุกวันนี้เราคงได้ยินบ่อยๆคำว่าเราต้องซื้อสังคมให้ลูก แพทมองว่าอย่างไรบ้าง
ยืนยันอีกเสียงว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ เราอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเค้าเหมือนที่เราได้รับจากคุณแม่ของเรา หลายอย่างเราใช้เงินแก้ปัญหาได้ ไม่ว่าจะคุณภาพชีวิตพื้นฐาน การศึกษา แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะไร้ค่าเลยถ้าสุขภาพจิตใจไม่แข็งแรง แพทจึงให้ความสำคัญและลงทุนกับ EQ ที่สุด ให้เค้าได้สนุกสนานตามวัย ไม่อัด ไม่เร่งเรื่องเรียนเลย อิสระเต็มที่ วันใดวันหนึ่งที่เค้าโตขึ้นแล้วต้องเจอกับปัญหาหรือวันที่โลกไม่น่ารัก ขอให้เค้ามีภูมิคุ้มกันจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะหาทางออกได้เราก็สบายใจแล้ว
อีกสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ คือ อากาศบริสุทธ์ วันที่อากาศแย่จริงๆเราก็หอบหิ้วลูกออกต่างจังหวัดกันเลย เลือกไปที่ใกล้ๆ อย่าง เขาใหญ่ หัวหิน อยุธยา พัทยา ไปหาที่โล่ง อากาศสะอาด ปลอดโปร่ง ให้เค้าได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดไม่ต้องอยู่กับมลภาวะ ติดในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆให้อึดอัด แต่เอาเข้าจริงน่าเศร้านะ เพราะการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตนั้นมันเป็นเรื่องยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหลายๆครอบครัว
ทุกวันนี้ทำอะไรบ้างนอกเหนือจากการปุ๊บปั๊บทัวร์
นอกเหนือจากทำ Blog ก็มีงานที่เป็นหลักๆของครอบครัวคือการทำมาร์เก็ตติ้งของ Chocolate ville ดูภาพรวม Media ทำงานประชาสัมพันธ์แบบที่เราถนัด ว่างๆก็ช่วยตักไอติมบ้าง มีอะไรทำได้ทำหมด
และก็ยังมีงานที่ไปเป็น Guest speaker พูดแชร์ประสบการณ์การเป็น Blogger แบบมืออาชีพตามมหาวิทยาลัยด้วยค่ะ รู้สึกดีใจที่ได้รับเกียรติให้ถ่ายทอดสิ่งที่มีประโยชน์ให้น้องๆรุ่นใหม่ๆได้ฟัง
มีลูกแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
พอมีครอบครัวแล้วเปลี่ยนไปบ้างแต่ไม่มากค่ะ แพททำงานมาตลอดตั้งแต่วัยรุ่นเลย อย่างในวงการมีโฆษณาหลายชิ้นเหมือนกันนะ เป็นความวาไรตี้ที่สะสมในตัวเรามาตั้งแต่เด็กๆ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าอยู่ และมีปฏิญาณกับตัวเองว่าจะเป็นคุณแม่ที่ไม่ลืมดูแลตัวเองและให้คุณค่ากับตัวเองเหมือนเดิม แต่เรา Respect คุณแม่ทุกคนที่ทุ่มเทเพื่อลูกนะ มันเป็นงานที่ต้องทำตลอดชีวิตจริงๆ
เร็วๆนี้แพทจะทำช่องยูทูบรีวิวอสังหาริมทรัพย์ เพราะเราชื่นชอบความงามของสถาปัตยกรรม มันคือศิลปะที่ทำให้เรามีความสุขและเชื่อว่าทำได้ดี อีกอย่างที่คิดไว้คือรูปแบบการถ่ายงานเราสามารถกำหนดเป็นเวลาชัดเจน พยายามถ่ายวันเดียวให้จบ หลายปีที่ผ่านมาแพททำงานในฐานะ Blogger จนแยกไม่ออกระหว่างเที่ยวกับทำงาน พอมีลูกแล้วไปเที่ยวเราอยากเล่น อยากมี Quality time กับเค้า ทุกงานมันใช้เวลามากพอสมควร เลยมีโมเมนต์ที่เราอยากแยกเส้นบางๆนี้ไม่ให้ปนกันกับเวลาของครอบครัว
ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็วไปหมด สังคมก้มหน้าอยู่กับจอเกินครึ่งของวัน การได้วางมือถือ วางกล้องลงบ้างแล้วหันมาเอ็นจอยกับคนที่เรารักและผู้คนรอบข้าง ในทุกวันโดยไม่ต้องมีโอกาสพิเศษอะไรก็เหมือนเราได้พักผ่อนที่สุดแล้ว
นี่คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ถ้าได้ทำงานที่ชอบ เราจะรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงานเลยสักวัน สมกับชื่อเพจ Forever on vacation จริงๆ