คัดลอก URL แล้ว
นี่แหละชีวิต ผู้ชายสายกลาง อัทธ์ Yes’sir days 

นี่แหละชีวิต ผู้ชายสายกลาง อัทธ์ Yes’sir days 

“ขอให้จิตใจทุกคนแข็งแกร่งค้นเจอความสุขจากภายใจรู้จักตัวเองในแง่มุมใหม่ๆที่จะทำให้เราเป็น Best versionกว่าคนในปีที่ผ่านมาและจงเชื่ออย่างสนิทใจว่าเราจะเป็นพลังงานที่ดีมากๆให้กับตัวเองและผู้อื่นเสมอในปีใหม่นี้ครับ”

จากข้อความในการ์ดส่งความสุขส่งท้ายปี ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า อะไรทำให้เขาเลือกอวยพรแนวปรัชญาชีวิตเช่นนี้ ว่าแล้วก็ขอพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของหนุ่มร็อคคนนี้ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย 

หลายคนน่าจะมีภาพจำเกี่ยวกับเขาในมาดร็อคเกอร์หนุ่ม วง Yes’sir daysแต่ผลงานช่วงแรกในวงการบันเทิงที่เราเราคุ้นหน้ากลับไม่ใช่บทบาทนักร้อง เขาเคยเล่นโฆษณามาหลายสิบชิ้น อาทิ 100pipers (สามหนุ่มในกลุ่มเพื่อน) Love at first flight เป็นโฆษณาแนวหนังสั้น รวมถึงมิวสิควิดีโออีกมากมาย ภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ ชอบกดไลค์ใช่กดเลิฟ และ ซีรี่ย์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคศึกล้างแผ่นดิน ทางค่ายโมโนแมกซ์

ประสบการณ์ในวงการกว่า 12 ปี ผลงานด้านดนตรีในฐานะนักร้อง เพลงที่ติดหูที่สุดของวง เจ็บไปรักไป แผลที่ไม่มีวันหาย ค่าย Genie records เพลงละคร อยากให้เธอได้ยินหัวใจ Ost. พรพรหมอลเวง เจ็บแค่ไหนก็ยังรักอยู่ Ost. อย่าลืมฉัน 
อัทธ์นิยามตัวเองว่าเป็นคนสมถะ เรียบง่ายติดดิน และเป็น “มนุษย์ที่ขี้สงสัย”
ผมเกิดคำถามในหัวบ่อยๆ ว่าความหมายในการมีชีวิตอยู่คืออะไร สุดสายปลายทางอยู่ตรงไหน ชาติหน้าอาจไม่มี พรุ่งนี้จะมาไหม น่าแปลกใจดีนะ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงเบื่อชีวิตแล้วไม่อยากกลับมาเกิดอีก “ย้อนไปตอนอายุ 13 แม่ชอบพาไปนั่งสมาธิ ตั้งแต่นั้นมาเหมือนผมกำลังเดินทางไปเจอคำตอบของชีวิต ได้พาใจไปสัมผัสความสงบ เหมือนชั่วโมงต้องมนต์ เข้าสู่เมโลดี้ที่ราบเรียบ ศิโรราบ เป็นโมเมนต์แบบที่ผมชอบมาก ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ”

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมศึกษาเรื่องนี้ต่อด้วยตัวเอง พอว่างจากงานจะชอบดูคลิปวีดีโอเกี่ยวกับคำสอน และฝึกปฏิบัติ เข้าสมาธิเองบ้าง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราไปเลย 

เคยมีภาพไหมว่าวันหนึ่งเราจะมาเป็นศิลปินแบบทุกวันนี้ 

ตอนเด็กๆผมอยากเป็นนายก หรือไม่ก็นักร้อง (คนละขั้วเลย ) ตั้งแต่ช่วงมัธยมที่เล่นดนตรีผมชอบฟีลลิ่งตอนยืนอยู่บนเวที มันเจ๋งและเท่มาก คิดว่าคงดีถ้าได้เป็นนักร้องถือไมค์ เลยเหมือนจุดไฟความฝันตั้งแต่นั้นมา 

ยุค MSN ผมใช้ชื่อ Born to be Rockstar 

ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 มีโมเดลลิ่งชวนไปแคสติ้งงานโฆษณา ผมก็ลองทำดู คิดว่าสนุกดีและนี่อาจเป็นโอกาสที่จะก้าวมาสู่แวดวงศิลปินได้ด้วย

หลังจบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภายใน 3 ปีครึ่ง พ่อแนะนำให้ไปสมัครงานเป็นหนุ่มแบงค์ตามที่อุตส่าห์เล่าเรียนมาจนจบ เป็นช่วงที่ต้องเลือกเหมือนกัน เพราะในใจยังมีคำถามว่า มันจะใช่ที่เราต้องการไหมและมีเสียงสะท้อนจากความฝันในวัยเด็กซ้อนมาด้วยว่า เรายังอยากเป็นนักร้องอยู่ เลยบอกกับพ่อว่าขอลองใช้เวลาที่เรียนจบไวกว่าคนอื่น พักหาอะไรทำสนุกๆไปก่อน 

ระหว่างที่พยายามหาคำตอบให้ตัวเอง (แต่เริ่มชัดที่จะเลือกแล้วแหละว่าอยากเป็นศิลปินมากกว่า) ผมก็แคสต์งานไปด้วย เล่นดนตรีกลางคืนตามผับรอบนอกเมืองไปด้วย แรกๆพ่อก็มีเขม่นบ้าง แต่ผมหาเงินเองแล้วพึ่งพาตัวเองได้ เขาคงเห็นว่าเราไม่ได้ลำบากก็เลยปล่อยเลยตามเลย
“ลองคิดดู บ้านผมอยู่พระโขนงแต่ขับรถอ้อมโลกไปร้องเพลงแถวหนองจอก คลองหก เพื่อได้ค่าตัวชั่วโมงละ 300 บาท สมัยนั้นฟังดูบ้าดีเหมือนกัน มันไม่คุ้มค่าน้ำมันหรอกแต่ผมยอมแลกเพื่อให้ได้ฝึกร้อง แล้วก็ทำ Demo สะสมไปด้วย จากนั้นถึงย้ายมาเล่นกลางเมืองหน่อยย่าน RCA ร้าน Route 66 ”

แต่ก็ยังไม่ได้อยู่บนเวทีนะ ผมร้องแนว Folk เล่นเพลงเบาเบาอยู่ในโซนหน้าห้องน้ำผู้หญิง นานเกือบปีเหมือนกัน จนวันหนึ่งพี่ที่มาจ่ายสตางค์ค่าตัวไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนที่คอยจัดการหน้าเวทีใหญ่ของร้าน เขาเห็นแววผมว่าน่าจะไปร้องได้ เลยนัดมา Audition เล่นกับวงใหญ่ ผลที่ออกมาคือผ่าน แล้วในที่สุดก็ได้ไปยืนร็อคบนเวทีสมใจ 

จากนั้นอัทธ์ก็อยู่บนเส้นทางนักร้องตามฝันมาเรื่อยๆ ที่ Route 66 ทำให้ได้รู้จักกับพี่โอ๊ต ปราโมทย์ ซึ่งตอนนั้นเขาเริ่มมาร้องเพลงที่นั่นเหมือนกัน แล้วพี่โอ๊ตก็ใจดีแนะนำให้ไปเจอพี่โต๋ ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้วง Peacemaker พอลองส่ง Demo ให้พี่เขาฟังแล้วก็ถูกใจ เป็นจังหวะที่เขากำลังหานักร้องใหม่ด้วย เข้าล็อคพอดี เลยได้ไปอยู่กับพี่ฟองเบียร์ แห่ง We Record และเป็นอัทธ์ Yes sir Days ที่ทุกคนรู้จัก

นั่นเหมือนสัญญาณจากคำว่า Born to be Rockstar ได้ทำหน้าที่ของมันได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว 

“ตอนที่ได้เล่นโฆษณาเยอะๆ จริงๆก็เป็นแพลนในใจแหละว่า จะแคสต์ให้ยับเลย ตอนส่ง Demo เพลงไปจะได้มีใครสักคนจำหน้าเราได้บ้าง ถ้าเราโนเนมไม่เคยผ่านงาน ไม่มีประสบการณ์ร้องเพลงมาเลยก็คงยากที่เขาจะสนใจฟัง Demo เรา”

มันไม่มีอะไรบังเอิญ สำหรับผมพอความฝันมันชัดเจน เราก็เดินตามเส้นทางนั้น แล้วทำทุก Process ให้ดี จนมันลุล่วงสัมฤทธิ์ผลตามที่ควรจะเป็นถ้ามีคนอยากโคฟเวอร์เป็นอัทธ์สักหนึ่งวัน อะไรที่คิดว่ายากที่สุดที่ต้องเจอ

การต้องเข้าฟิตเนสทุกวันอย่างน้อย  2 ชั่วโมง เล่นหนักสุดพลังและกินคลีน ( หัวเราะร่วน ) ผมมีเป้าหมายว่าทุกครั้งที่ขึ้นเวทีไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหน วินาทีที่ก้าวขึ้นสู่เวที จะร้องให้ดีเต็มที่ เล่นเพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้ายต้องสุดพลังเท่ากัน ไม่แผ่ว ต้องแข็งแรง เพื่อจะกระโดดไปพร้อมกับร้องแล้วสามารถคุมเสียงให้ไม่สั่น 

ใน Facebook ของผม นอกจากข้อความคิดบวก ก็จะมีพวกภาพตอนออกกำลังกาย กับภาพอาหาร นี่แหละเพื่อบันทึกเป็น Milestone ไว้เตือนตัวเองด้วย 
มีวันพักบ้างไหม แบบ Cheating day มีครับ ล่าสุดเลยช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่เวลาจะหลงทางหรือขี้เกียจขึ้นมาวันไหน ผมจะนึกถึงคนที่ซื้อบัตร ถ้าเขาไม่เคยมาคอนเสิร์ตแล้วนี่คือการมาดูเราครั้งแรกล่ะ เขาคงเสียใจ เสียดายผิดหวังเนอะ ที่ผมทำได้ไม่ดี
 “อย่างตอนคอนเสิร์ตแรกหลังช่วงโควิด ร้องได้ครึ่งชั่วโมงเสียงหมดแล้ว แบบกำลังจะเข้าฮุคแล้วเสียงต้องขึ้นสูงผมต้องยื่นไมค์ให้คนดูช่วยร้อง (ยิ้มขำ) เฟลมาก เลยเหมือนเป็นการปฏิญาณตนในใจบอกตัวเองจะไม่เป็นแบบนั้นอีก เป็นปมว่า ไม่ได้ละ ต้องฟิต ต้องทำงานให้คุ้มค่ากับเวลา และค่าบัตรที่เขาจ่ายมา ”

Appreciate อะไรในการแต่งเพลงก็เหมือนการที่เราได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราเคยเจอมาหรือได้ยินมาเล่า แชร์ ให้ทุกคนได้ฟัง ผ่านดนตรี  ผมคิดว่าสเน่ห์ของเพลงแต่ละเพลงจะเป็นเหมือนไดอารี่เก็บความทรงจำเรื่องราว ไม่ว่าร้ายหรือดีในช่วงเวลานั้นๆของแต่ละคนที่ได้ฟังและรู้สึกไปกับมัน 

“เพราะในแต่ละเพลงที่ได้ฟัง ทุกคนก็จะซ่อนใครบางคนในความทรงจำไว้เสมอ ซึ่งผมว่ามันเจ๋งดี ”

ท่ามกลางความวิบวับบนโลกแห่งเสียงดนตรีมีหลงระเริงไปบ้างไหม 
มีบ้างแต่ไม่ค่อยหลงทางนะ พอมีสติ ฝึกสมาธิจนเป็นปรกติ ทำให้ผมค่อนข้างใช้ชีวิตแบบเบาสบายจริงๆ ต่อให้เจอสถานการณ์ท้าทายหรือโลกจะใจดี ใจร้ายกับเราแค่ไหน ใจผมบอกว่า “มันก็แค่นั้น” แต่ละวันเราใช้เวลากี่ชั่วโมง กี่นาที หมดไปกับเรื่องไม่ได้ดั่งใจ ดีใจ เสียใจ ถ้าเราไปติดหลุมพรางก็สุขก็ทุกข์และเสียเวลาชีวิตไปกับสิ่งเหล่านี้นาน 

ผมมองว่าจิตวิญญาณที่แข็งแรง เห็นธรรมดาตามธรรมชาติในชีวิต เรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันของเรานี่แหละของจริง เมื่อไหร่ที่เราเจอความเป็น “กลาง” เมื่อนั้นจะเจอ “โล่ง โปร่ง เบา สบาย” และการมี Mindset ต่อเรื่องที่เจออย่างถูกต้องคือ “รางวัลในชีวิต”

เหตุการณ์เบิกเนตรครั้งหนึ่งเคยเจอเหตุการณ์เครื่องบินตกหลุมอากาศ แว้บแรกมันกลัวมาก ภาพมันแล่นมาหมดว่าถ้าเครื่องหล่น พ่อแม่จะเป็นยังไง พอเราไม่อยู่แล้ว ผมรีบทำสมาธิจนเครื่องแลนด์ดิ้ง ระหว่างนั้นกระจ่าง ตาสว่างเลย คิดได้ เข้าใจว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา วันหนึ่งเราต้องตาย มันสอนให้ผมเข้าใจว่าทุกวันที่มี เราแค่อยู่ตรงนี้ ปล่อยตัวเองจากสุข ทุกข์ สุดโต่ง แล้ว เอนจอยไลฟ์ อยู่กับปัจจุบันเพียงพอแล้ว ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีตลอดไป เรียนรู้จากประสบการณ์  เตรียมพร้อมเท่าที่ได้สำหรับอนาคต แต่อยู่กับปัจจุบัน ถ้าทำดีที่สุดแล้วก็ไม่ต้องเสียใจ

ไม่ว่าเราจะมีเรื่องให้ฟูหรือแฟ่บ  มันไม่ได้อยู่ข้างนอก มันเป็นวิธีที่เรามองเห็นจากข้างใน ต้องฝึกดูแลใจให้รู้ก่อนจะไปจับมาเป็นอารมณ์ร้อน อารมณ์เย็น อย่าลงไปเป็นคนเล่นเสียเอง แค่มองดูห่างๆ 

ฟังดูยากแต่ต้องลองฝึกทีละนิด พอบ่อยเข้าเราจะเริ่มชิล แล้วสมาธิก็เป็นเรื่องที่ง่ายไปเอง อย่างผมวันที่ทำงานกลับมาแบบดึก เหนื่อยมากๆ ก็ทำสมาธิในท่านอนหลับไปเลย พอยึดหลักความกลางๆของการดำเนินชีวิตมันทำให้เป้าหมายเรามันเนิบๆ ไปด้วยมั้ย 
ไม่เลยครับ ผมตั้งเป้าหมาย อะไรที่ต้องทำ ต้องแพลนก็ยังทำอย่างเต็มที่สุดๆเหมือนเดิม  เพียงแต่เวลาที่มันไม่ได้ตามนั้น หรือได้อย่างหวังก็ดี แค่ไม่ได้ไปยึดติด ต่อให้วันข้างหน้าจะดังมากๆก็ได้ หรือไม่ได้มีคนมาขอผมถ่ายรูปแบบวันนี้ ผมก็โอเคหมดนะ คือจะไปบวชก็ได้ ไม่ติดค้าง “ตายได้” คุ้มแล้ว Next Chapter 
ล่าสุดวงเรามี Project ร่วมงานกับ Mango Team เป็นทีมนักแต่งเพลงระดับปรมาจารย์ ที่ทำเพลงให้กับวง  Big ass , Bodyslam , ลาบานูน เป็นความก้าวหน้าไปอีกสเต็ปในปีนี้ รู้สึกภูมิใจและตื่นเต้นที่มีคนเห็นคุณค่าในงานที่เราทำ เชื่อว่าคงเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำมากมากและคงได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆอีกเยอะ 
ใกล้วันเด็กแล้วช่วยทิ้งท้ายอะไรฝากน้องๆรุ่นใหม่หน่อยครับ

ถ้ากำลังตามหาฝัน ให้พยายามคุยกับตัวเองเยอะๆ หาคำตอบให้ได้จากข้างใน จนรู้ว่าเรารักที่จะทำอะไรแล้วพยายามอยู่บนเส้นทางนั้นแบบมีสติ รู้ตัว How to อย่างมีเป้าหมายแล้วทำให้สุดสุดไปเลย

ผมเชื่อนะว่าถ้าทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นตัวเองจริงๆ เขาจะเจอความสุขแบบง่ายๆ กลางๆ ที่แสนจะธรรมดา แล้วจะสามารถปล่อยพลังงานดีดีที่เป็นบวกให้แก่ผู้คนรอบข้างได้

ก่อนจากกันอัทธ์ยิ้มเรียบๆด้วยสีหน้าแบบภูมิใจแล้วพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“ผมว่าผมสอบผ่านการเป็นมนุษย์โลกแล้ว”

สิ่งที่สัมผัสได้ตลอดการสนทนาคือ ความเอาใจใส่ ทุ่มเทกับงานแบบมืออาชีพมาก ในทุกเพลง ทุกเวที ผสมกับหลักการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายบนทางสายกลาง สิ่งนี้น่าจะเป็นเสน่ห์ที่เปล่งประกายจากอัทธ์จนมัดหัวใจแฟนเพลงได้อย่างเหนียวแน่น ตลอดเส้นทางที่เขาเลือกเดินสุดท้าย…หวังว่าพวกเราคงได้กลับมาพิจารณาใจตัวเองและอยู่กับปัจจุบันขณะเพิ่มขึ้น ไม่มากก็น้อย

ติดตามผลงานของอัทธ์ ได้ที่
IG : Utt_ysd
Facebook: Utt yes’sir days


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง