
สถานการณ์โรคติดต่อในภาคเหนือกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังมีรายงานการพบผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้นในจังหวัดเชียงราย ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกมาเตือนประชาชนให้เฝ้าระวัง พร้อมแนะนำให้เด็กและผู้ใหญ่เข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อในชุมชน
อาจารย์แพทย์หญิงสิปาง ปังประเสริฐกุล สาขาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. อธิบายว่า โรคหัดเป็นโรคไข้ออกผื่นที่เกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายมากผ่านละอองฝอยจากการไอจามของผู้ป่วย โดยผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีอาการภายใน 8 ถึง 12 วันหลังรับเชื้อ อาการสำคัญประกอบด้วยไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล ตาแดง และอาจพบจุดขาวเล็กบริเวณกระพุ้งแก้ม ก่อนที่ผื่นสีแดงนูนจะลามจากไรผมลงสู่ใบหน้า ลำตัวและแขนขา
แม้ผื่นมักจางลงภายในไม่กี่วัน แต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือสมองอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ แพทย์จึงเน้นย้ำว่าในพื้นที่ที่พบการระบาด ผู้ปกครองควรรีบพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนหัด–หัดเยอรมัน–คางทูม เข็มแรกที่อายุ 9 ถึง 12 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 18 เดือน ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่เคยฉีด หรือไม่แน่ใจว่าเคยได้รับวัคซีนมาก่อน ควรติดต่อสถานพยาบาลเพื่อรับวัคซีนซ้ำ
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะรักษาตามอาการร่วมกับการให้วิตามินเอ แต่หากพบสัญญาณผิดปกติ เช่น ไอมากขึ้น เสมหะเปลี่ยนสี หรือหายใจลำบาก ควรรีบเข้ารับการตรวจทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเด็กเล็ก
ในกรณีพบผู้ป่วยในโรงเรียน แนะนำให้เด็กที่มีผื่นหรือสงสัยว่าเป็นโรคหัดหยุดเรียนอย่างน้อย 4 วันหลังผื่นขึ้น พร้อมตั้งระบบเฝ้าระวังผู้ป่วยต่อเนื่องจนกว่าจะผ่านระยะฟักตัวครบสองรอบ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อในห้องเรียนที่มีการรวมตัวของเด็กจำนวนมาก
แพทย์ มช. ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้มีอาการไข้และผื่น เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดในชุมชน