ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชาโพสต์เฟชบุ้กชี้แจงปมบ้านหนองจาน หลังถูกกระแสสังคมในกัมพูชากดดันหนักทั้งจากชาวกัมพูชาทั่วไป รวมถึงฝ่ายค้านกัมพูชา จนทำให้ต้องออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ ระบุ กัมพูชาเน้นแนวทางสุขุม เยือกเย็น ใช้สันติวิธี จนทำให้ชาวกัมพูชาเข้าใจผิด อ้าง JBC ร่วมกันหาทางออก ปักปันเขตแดนโดยใช้แผนที่ 1:200,000 เช่นเดิม
ซึ่งจากกระแสกดดันที่เกิดขึ้น จากการที่มีภาพ คลิปของฝ่ายไทยได้ดำเนินการรื้อบ้านชาวกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนไทยในพื้นที่บ้านหนองจาน เผยแพร่ออกไป ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากต่างออกมา พูดถึงประเด็นดังกล่าวในมุมที่รู้สึกว่า กัมพูชากำลังเสียดินแดนให้กับประเทศไทย ในขณะที่ฝ่ายค้านกัมพูชาใช้ประเด็นนี้ ในการโจมตีไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่า ยอมเสียดินแดน เพื่อแลกกับสันติภาพที่เกิดขึ้น
ทำให้ในวันนี้ ( 23 ต.ค. 68) ฮุน มาเนต นายกฯ ของกัมพูชาได้ออกมาโพสต์เฟซบุ้กส่วนตัวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ปัญหาหมู่บ้านโจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน ในช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ภายหลังจากทางการไทยได้ดำเนินการล้อมรั้ว การรื้อถอนทำลายสิ่งปลูกสร้าง ไปจนถึงการส่งคืนที่ดินให้กับชาวไทยนั้น
รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการเพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดการลุกลามบานปลาย พยายามใช้ความอดทนอดกลั้น และใช้แนวทางสันติในการหาทางออก ซึ่งเข้าใจความรู้สึกของประชาชน ต่อแนวทางที่สุขุม เยือกเย็นนี้ ไม่ได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการได้ทันที นำไปสู่ความสิ้นหวัง และเข้าใจผิดว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ตกลงกับไทยเพื่อยกดินแดน แลกข้อตกลงหยุดยิง
โดยฮุน มาเนตได้ยืนยันต่อชาวกัมพูชาว่า ไม่ได้มีการยกดินแดนใด ๆ เพื่อแลกการเจรจาหรือการหยุดยิงแต่อย่างใด และกัมพูชาไม่ยอมให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเช่นกัน
งานวัดพื้นที่และปักปันเขตแดน อยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอย่างละเอียด เกี่ยวกับการแสวงหาทางออกด้วยความโปร่งใสและถูกต้องตามหลักการที่ได้ตกลงร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อก้าวไปสู่การแก้ไขยุติความขัดแย้งในหมู่บ้านโจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน
ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการกำหนดการวัดพื้นที่ร่วมกันและปักหลักเขตแดนชั่วคราว โดยใช้แผนที่ 1:200,000, สนธิสัญญา 1907 และบันทึกการปักหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิการปักหลักเขตแดนฝรั่งเศส-สยาม เป็นพื้นฐาน
ข้อตกลง JBC ไม่มีกำหนดแผนที่ 1:200,000
จากคำกล่าวอ้างของฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชาที่อ้างว่า จะมีการใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นตัวกำหนดนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จะมีการหารือ ในการสำรวจพื้นที่เร่งด่วน บริเวณหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 ซึ่งจะมีการดำเนินการวางหมุดชั่วคราว และนำไปสู่การปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่าย
ส่วนการปักปันเขตแดนนั้นจะมีการเร่งรัดการแก้ไข Terms of Reference 2003 (TOR 2003) เกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Maps) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Light Detection and Ranging (LiDAR) มาใช้ในการสำรวจและจัดทำแผนที่
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้วนั้น ทางการไทยได้มีการชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว ว่า พื้นที่ชาวบ้านกัมพูชาบุกรุกที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ อยู่นอกเขตพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์นั้น ลุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทย ซึ่งแม้ว่า กัมพูชาจะนำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มาใช้อ้างอิงก็ตาม
โดยพื้นที่ที่ไทยมีการวางลวดหนาม ปรับพื้นที่ต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ในเขตแดนไทย ที่ตามกรอบของเขตแดนระหว่างประเทศตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ซึ่งรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และหลักเขตแดนที่ได้รับการยอมรับ จำนวน 74 หลัก ยังคงมีผลทางกฎหมายและได้รับการคุ้มครองภายใต้บทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ
และในพื้นที่ดังกล่าวที่กัมพูชาอ้างนั้น เป็นพื้นที่ราบ จึงจำเป็นต้องใช้หลักเขตแดนที่มีการปักปันไว้แล้ว การจะใช้แผนที่ 1:200,000 ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่า กัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แปลคำชี้แจงฮุน มาเนต ปมบ้านหนองจาน
ถึงพี่น้องร่วมชาติอันเป็นที่รัก
วันนี้ข้าพเจ้าขอเรียนแจ้งให้พี่น้องทราบเล็กน้อยเกี่ยวกับการพยายามแก้ไขปัญหาที่หมู่บ้านโชคชัยและหมู่บ้านเปรยจัน เนื่องจากสถานการณ์ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง มีความชัดเจนกว่าเดิม โดยทั้งสองฝ่ายสามารถนำหลักการทางเทคนิคและทางกฎหมายมาหารือกันเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีได้
ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ หมู่บ้านโชคชัยและหมู่บ้านเปรยจัน ซึ่งเริ่มต้นจากการใช้ลวดหนามและยางรถยนต์ของทหารไทย ทำการล้อมรอบบ้านเรือนและที่ดินทำกินบางส่วนของประชาชน ณ ที่นั่น ในช่วงเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ได้สร้างความยากลำบากให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ตลอดจนประชาชนคนอื่นๆ ที่กำลังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านทั้งสอง ปัญหานี้ยังได้สร้างความตึงเครียดในความรู้สึกของประชาชนชาวเขมรของเราทั้งในและนอกประเทศที่ติดตามปัญหานี้อยู่
เป้าหมายของรัฐบาลนับตั้งแต่แรกเริ่ม คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ให้ลุกลาม ซึ่งจะนำไปสู่ผลกระทบต่อประชาชนมากยิ่งขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น ตลอดจนหาวิธีการทุกอย่างเพื่อแก้ไขปัญหา ณ จุดเกิดเหตุให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลได้ยึดมั่นในแนวทางแห่งความพยายามแก้ไขปัญหาด้วยความอดทนอดกลั้น และการใช้สันติวิธีในการแสวงหาทางออก เพราะการใช้ความรุนแรงใดๆ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถหาทางออกได้ แต่ยังอาจนำไปสู่การขยายพื้นที่แห่งความขัดแย้ง และก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนมากยิ่งขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างความยากลำบากในการแสวงหาทางออกเพื่อยุติปัญหาให้ได้อย่างรวดเร็ว
ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องประชาชน เนื่องจากแนวทางที่สุขุมเยือกเย็นที่รัฐบาลได้ยึดถือในช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งก็ไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ในทันที ในขณะที่การแสวงหาทางออกดูเหมือนจะไม่มีผลลัพธ์ และสถานการณ์ตามความเป็นจริง ณ ที่นั่นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้พี่น้องบางส่วนอาจรู้สึกสิ้นหวังและคิดว่าจะไม่มีทางออกใดๆ เลย นอกจากนี้ การกระทำบางอย่างของฝ่ายไทย เช่น การตรวจหาทุ่นระเบิด, การแบ่งสรรที่ดินให้แก่ประชาชนชาวไทย หรือการทำลายอาคาร ในพื้นที่ที่กองทัพไทยได้ล้อมไว้แล้วนั้น ได้ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอาจจะไม่มีทางออก และบางคนถึงขั้นมีความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลกัมพูชาได้แอบตกลงยอมยกดินแดนเขมรให้แก่ผู้อื่นเพื่อแลกกับข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพ
ข้าพเจ้าขอชี้แจงอีกครั้งว่า ไม่มีการแอบตกลงใดๆ ในการยกดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยอันชอบธรรมของกัมพูชาให้แก่ประเทศใด เพื่อแลกกับการเจรจาหยุดยิงหรือการเจรจาสันติภาพ กัมพูชาไม่ล่วงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน แต่กัมพูชาก็ไม่ยอมให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเช่นกัน
ปัญหาชายแดนเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ซึ่งตกทอดมานับร้อยปี ที่เราต้องร่วมกันแก้ไข เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศสามารถอยู่ร่วมกันตามแนวชายแดนได้อย่างสันติสุขในระยะยาวต่อไป แต่การแก้ไขปัญหาใดๆ ที่จะสามารถยอมรับได้นั้น จะต้องตั้งอยู่บนหลักการความโปร่งใส, มีความเห็นพ้องต้องกัน, ปราศจากการบีบบังคับระหว่างทั้งสองฝ่าย และโดยการใช้กลไกที่ได้ตกลงร่วมกัน พร้อมทั้งตั้งอยู่บนพื้นฐานของสนธิสัญญา, อนุสัญญา และข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ
ในแง่นี้ งานวัดพื้นที่และปักปันเขตแดน อยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) และจะต้องแก้ไขโดยสันติวิธี ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญา, อนุสัญญา และข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ กัมพูชาและไทย JBC ได้ทำงานร่วมกันอย่างมีผลสำเร็จมากมายในช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดก็ตาม
ในการประชุม JBC ตลอดระยะเวลาสองวันเต็ม (21-22 ตุลาคม) ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อหลังเที่ยงคืนย่างเข้าสู่วันที่ 23 ตุลาคม 2025 นี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอย่างละเอียด เกี่ยวกับการแสวงหาทางออกด้วยความโปร่งใสและถูกต้องตามหลักการที่ได้ตกลงร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อก้าวไปสู่การแก้ไขยุติความขัดแย้งในหมู่บ้านโชคชัยและหมู่บ้านเปรยจัน (ระหว่างหลักเขตแดนหมายเลข 42 และ 47)
เพื่อแสวงหาทางออกนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องต้องกันที่จะดำเนินกิจกรรมตามลักษณะทางเทคนิคต่อไป เพื่อกำหนดการวัดพื้นที่ร่วมกันและปักหลักเขตแดนชั่วคราว โดยใช้แผนที่ 1:200,000, สนธิสัญญา 1907 และบันทึกการปักหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิการปักหลักเขตแดนฝรั่งเศส-สยาม เป็นพื้นฐาน ผลลัพธ์ที่ได้รับจะนำไปตรวจสอบกับการครอบครองตามความเป็นจริงของประชาชนทั้งสองฝ่าย เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาต่อไป
มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้น ที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถก้าวไปสู่ทางออกที่ถูกต้องสำหรับระยะยาว และช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ หมู่บ้านโชคชัยและเปรยจันสามารถแก้ไขให้สิ้นสุดลงได้ และประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประกอบอาชีพเลี้ยงชีพได้ตามปกติอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการยืดเยื้อปัญหาให้ยังคงเรื้อรังต่อไปในระยะยาว