พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า หลังจากนี้ชุดทำงานดังกล่าวจะนำเรื่องการตรวจค้นบ้านตนรายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่วนตนนั้นไม่ต้องรายงาน เนื่องจากเป็นผู้ถูกตรวจสอบ โดยยืนยันว่า ยังจะทำงานตามปกติเช่นเดิม และจะไม่ลดบทบาทของตนเอง ตามคติคือ “ต้องอดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก และไม่มักมากในลาภผล” และต้องเดินหน้าทำงานสะสางคดีที่ค้างคาให้เสร็จ ส่วนลูกน้องที่ถูกดำเนินคดีก็จะต้องไปต่อสู้ตามกฏหมาย แต่ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษาก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
ทั้งนี้ตนได้สั่งให้ลูกน้องที่ถูกออกหมายจับทุกคนให้ไปมอบตัว ส่วนลูกน้องบางคนที่ยังไม่มอบตัวนั้น เนื่องจากยังไม่รู้ว่าถูกออกหมายจับ และหากไม่ได้รับการประกันตัวที่โรงพัก ก็ให้ยื่นประกันตัวที่ชั้นศาล ซึ่งถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามปกติ แต่หากศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ประกันตัว ก็ให้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำไปตามกระบวนการ
พร้อมยืนยันด้วยว่า ตนไม่ได้ใช้อำนาจของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โทรไปสั่งผู้กำกับ สน.ในท้องที่ ซึ่งเท่าที่ทราบมีตำรวจ 7-8 คน และพลเรือนอีก 10 คนที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งตนก็ยังไม่ทราบว่ามีใครบ้าง และมั่นใจว่า เรื่องดังกล่าวนี้ชัดเจนว่าเป็นการทำเพื่อดิสเครดิสตนเอง และถือว่าเป็นการชกใต้เข็มขัด ทั้งนี้ไม่ขอฝากอะไรไปยังผู้ที่ชกใต้เข็มขัดแต่อย่างใด เพราะเราทำหน้าที่ตามกฎหมาย ใครทำผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย และใครที่ไปละเมิดอำนาจศาลก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วยเช่นกัน ยืนยันทุกคดีที่ตนทำ ทำด้วยความโปร่งใส และดำเนินการร่วมกับทางอัยการ
เมื่อถามว่าการบุกค้นบ้าน เป็นการเช็คบิลกับตนสำหรับการดำเนินคดีต่างๆ ที่สะสมมาหมดใช่หรือไม่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังยืนยันว่าเป็นการดำเนินการเพื่อดิสเครดิต และหลายคดีก็งวดเข้ามาแล้ว และตอนนี้ตนรู้หมดแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการให้บุกค้นบ้าน
ส่วนมีความกังวลใจต่อตำแหน่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่นั้น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตอนนี้ตนยังเป็นเบอร์2 ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้จะต้องดูเบอร์ 1 ก่อน หากเบอร์ 1 ยังอยู่ ตนก็ไม่คิดอ๊อฟไซต์ และ พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 เขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีการพิจารณาโดยการยึดตำแหน่งผู้อาวุโส และตอนนี้ตนก็ความสนุกกับการทำงานในตำแหน่งนี้ และตนก็ยังเหลือเวลาราชการอีกเยอะ รวมถึงไม่คิดไปแข่งกับใคร
ส่วนประชาชนบางส่วนที่อยากให้ตนขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า แค่ตนตื่นเช้าขึ้นมาได้ทำงานก็พอใจแล้ว ส่วนจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่นั้น เรื่องนี้อยู่ที่นายกรัฐมนตรี แต่เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ซึ่งตัวชี้วัดอยู่ที่ประชาชน และในเรื่องที่ตนเองถูกตรวจสอบก็ต้องเดินหน้าต่อไป แต่หากใครทำอะไรโดยมิชอบ ก็ต้องรับผิดชอบในความผิดนั้นไปด้วย
เมื่อถามว่ามีความมั่นใจกับการจะได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่ เนื่องจากหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตำแหน่งมี 2 ข้อคือ ความอาวุโส และผลงาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวย้ำว่า ตนเองไม่ได้อาวุโส ยังยึดหลักต้องเอาผู้อาวุโสนำ และยืนยันว่าการทำงานในการปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งตนปราบอย่างเดียวไม่เคยรับเงินหรือรับผลประโยชน์
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีคำสั่งโยกย้ายตนนั้น ตอนนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือคำสั่ง เพราะการจะสั่งโยกย้ายต้องให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้สั่ง ส่วนที่บอกว่าจะให้ไปนั่งเป็นเลขา ปปส. จริงหรือไม่นั้น ระบุว่า วันนี้จะไปทำหน้าที่ตำแหน่งไหนก็ได้ แต่ผู้ที่ถูกโยกย้ายต้องมีความสมัครใจ และวันนี้เรื่องของตนยังไม่มีข้อกล่าวหาแม้แต่ข้อเดียว จึงไม่ต้องมีการชี้แจง เพียงแต่ตนตั้งประเด็นว่าการบุกเข้าค้นบ้านในวันนี้มีความผิดปกติ เหมือนไปหลอกศาลเพื่อออกหมายค้น โดยไม่มีการแจ้งต่อศาลว่าเป็นบ้านของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และศาลก็ไม่ทราบด้วยว่าเป็นบ้านของตน ซึ่งถือเป็นการหมกเม็ดต่อศาล และวันนี้เป็นกระบวนการที่มีการเตรียมการไว้เพื่อจะดิสเครดิสตนให้ได้ ซึ่งตนรู้สัญญาณนี้มาก่อนล่วงหน้าแล้ว และยืนยันว่าเหตุผลมาจากการเมืองภายในองค์กรตำรวจ นอกจากนี้ยังปฏิเสธตอบคำถามว่าเรื่องนี้จะทำให้องค์กรตำรวจเสียหายหรือไม่ โดยขอให้รอดูเอาเอง
อย่างไรก็ตาม หากตนถูกโยกย้ายก็พร้อม เนื่องจากเป็นคนทำงานอยู่แล้ว แต่การถูกโยกย้ายจะต้องมีความเป็นธรรม โดยยืนยันว่าตนไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่ว่าทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างเป็นธรรม เพราะเมื่อตนดำเนินคดีกับบุคคลใดก็ต่างให้ความเป็นธรรมกับบุคคลนั้นเช่นกัน