Mitsubishi Motor ประเทศญี่ปุ่น ได้ยุติการผลิตและจัดจำหน่าย Mitsubishi Mirage (A10) ในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พร้อมกับถอดโมเดลดังกล่าวออกจากเว็บไซต์หลักในญี่ปุ่น และกำลังจะมีแผนเลิกผลิตและจัดจำหน่ายในบางประเทศ ส่วนในตลาดเอเชีย และไทยรอลุ้นทิศทางอนาคตของอีโค่คาร์ขวัญใจชาวไทยกันต่อไป
หลังจากเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 6 (A10) ในปี 2012 ในรูปแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ก่อนที่จะขยายสู่ตัวถังซีดาน 4 ประตูในเวลาต่อมา และถึงแม้ว่ามีการปรับโฉมใหม่ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบสนองต่อยุคปัจจุบันมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโมเดล A10 นี้ลากขายมายาวนานกว่าสิบปี และเพิ่งผ่านการปรับโฉมครั้งที่สองเมื่อปี 2019 ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีวี่แววการพัฒนาโฉมใหม่เลย
ขณะเดียวกัน Mitsubishi Mirage สเปคอเมริกาก็มีการประกาศหน้าเว็บไซต์ว่าอาจจะยุติการจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ “เนื่องจากการสิ้นสุดการผลิตของ Mirage โฉมปัจจุบันจึงอาจไม่สามารถตอบสนองคำขอของลูกค้าทั้งตัวเลือกรุ่นย่อย และสีตัวถัง ฯลฯ สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ โปรดติดต่อพนักงานขายของบริษัทฯ” น่าสนใจคือยังไม่มีการประกาศการสิ้นสุดการผลิต หรือแม้แต่โมเดลยังไม่ถูกถอดออกจากเว็บไซต์ของ Mitsubishi ในอเมริกา
จึงทำให้ทิศทางในอนาคตยังไม่แน่นอน แต่ทางโฆษกของบริษัทฯ ได้เผยว่า “Mirage ยังคงเป็นส่วนสำคัญของสายการผลิตในสหรัฐฯ ของเราในเวลานี้” แม้ว่าจะทำยอดขายได้เพียง 12,763 คันตลอดไตรมาสที่สาม
เนื่องด้วยเทรนด์การใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่เปลี่ยนแปลงไปจากเครื่องยนต์สันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก รวมถึงความนิยมของรถเอสยูวีที่มากขึ้น จึงส่งผลให้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปขนาดเล็กลดความนิยมลง ขณะที่ตลาดเอเชียในบางประเทศยังคงได้รับความนิยมอยู่
จึงคาดการณ์กันว่าทิศทางของ Mitsubishi Mirage อาจจะจำหน่ายในบางประเทศในฐานะโมเดลท้องถิ่น ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของตัวถังเพื่อเป็นการต่ออายุของรถยนต์ขนาดเล็ก ขณะเดียวกันก็อาจจะมีการรื้อฟื้นชื่อ Colt ซึ่งเป็นชื่อรถยนต์ขนาดเล็กที่มีอายุเก่าแก่ไม่แพ้กัน โดยคาดว่าอาจจะใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Renault Clio อย่าง CMF-B แต่ก็จะส่งผลทำให้รถมีขนาดใหญ่ขึ้น และจะจำหน่ายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น
ขณะที่ Mitsubishi Mirage สเปคไทยนั้นยังคงถูกผลิตที่โรงงาน MMTh ที่นิคมแหลมฉบัง จึงยังคงจำหน่ายตามปกติ แต่ด้วยทิศทางของตลาดอีโค่คาร์ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งยังคงต้องจับตาดูทิศทางของรถรุ่นนี้ในประเทศไทบกันต่อไป
เครดิตข้อมูลจาก autoblog.com