คัดลอก URL แล้ว

MG4 ส่องสเปคแฮทช์แบ็ค EV 200 แรงม้า อีกหนึ่งโมเดลที่เตรียมเข้าไทย 100%

อีกหนึ่งโมเดลรถยนต์ EV 100% ที่จะบุกเข้าไทยภายในปลายปีนี้ โดยทาง MG ประเทศไทย จะมีแผนเปิดตัว All-New MG4 หรือ MG Mulan ซึ่งความพิเศษของการเปิดตัวครั้งนี้คือการเผยโฉมโมเดลแฮทช์แบ็ค 5 ประตู เพื่ออุดช่องว่างตลาด EV หลังจากที่กลุ่มรถ SUV EV จากค่ายรถต่าง ๆ เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเมามัน (แม้บางรุ่นจะวางกึ่ง ๆ ระหว่างซับคอมแพ็คเอสยูวี กับแฮทช์แบ็คขนาดใหญ่) จึงทำให้แฟน ๆ รถยนต์ไฟฟ้าต่างให้ความสนใจรถรุ่นนี้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ สมรรถนะ และราคา

แต่ก่อนที่จะได้สัมผัส MG4 ที่จะเข้าไทยในปลายปี (คาดอาจเป็นช่วงพฤศจิกายนนี้) มาส่องสเปคคร่าว ๆ ว่ารถรุ่นนี้มีทีเด็ดอะไรบ้าง

เป็นรถรุ่นแรกที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด

MG4 เป็นรถรุ่นแรกของแบรนด์ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มใหม่ SAIC NEBULA TECHNOLOGY หรือแพลตฟอร์ม MSP (Modular Scalable Platform) ที่ได้รับการพัฒนาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ที่รองรับการปรับโครงสร้างรถได้อย่างหลากหลายตั้งแต่รถซับคอมแพ็ค รถสปอร์ต ยัน SUV ขนาดใหญ่

ขณะเดียวกันยังมาพร้อมกับการออกแบบตัวถังให้กระจายน้ำหนักหน้าหลังมีความสมดุลสูงด้วยสัดส่วน 50:50 อันมาจากการจัดวางมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ขนาดระยะฐานล้อ และสัดส่วนหน้ารถ-ท้ายรถ ที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยไม่ลดทอนความแข็งแรง หนึ่งในนั้นคือ MG4

นอกจากนี้ตัวแพลตฟอร์มใหม่ จะมีการออกแบบให้รองรับการสับเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว และรองรับการอัปเดทซอร์ฟแวร์ Over the Air (OTA) ตลอดอายุการใช้งานของรถอีกด้วย

กำลังสูงสุด 200 แรงม้า วิ่งไกลสูงสุด 450 กม./ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง

MG4 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหลังเป็นระบบส่งกำลังมาตรฐาน กำลังให้เลือกตั้งแต่ 125 – 150 กิโลวัตต์ หรือ 167 – 201 แรงม้า (HP) หรือ 170 – 203 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. น้อยกว่า 7.5 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 160 กม./ชม.

ขณะเดียวกันในบางประเทศจะจำหน่ายรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 422 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ทำได้เพียง 3.8 วินาที

สำหรับแบตเตอรี่นั้นจะเป็นแบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต ที่มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 51 kWh และ 64 kWh ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลถึง 350 และ 450 กิโลเมตร/ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามลำดับ (มาตรฐานการทดสอบจาก WLTP)

ด้านประสิทธิภาพการชาร์จจะอิงจากสเปคจีน และสเปคสหราชอาณาจักร ดังนี้

สเปคจีน : รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สูงสุด 100 kW หรือสามารถชาร์จจาก 30 – 80% ได้ตั้งแต่ 28 – 23 นาที และรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับจาก 0 – 100% ภายใน 7 – 9 ชั่วโมงตามลำดับความจุแบตเตอรี่

สเปคสหราชอาณาจักร : รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สูงสุด 150 kW หรือสามารถชาร์จจาก 10 – 80% ได้ตั้งแต่ 39 – 35 นาที และรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ 7kW จาก 10 – 100% ภายใน 7.5 – 9 ชั่วโมงตามลำดับความจุแบตเตอรี่

นอกจากนี้ยังออกแบบตำแหน่งแบตเตอรี่ใต้ท้องรถที่สูงจากพื้นรถเพียง 110 มม. เพื่อการวางจุดศูนย์ถ่วงของรถที่เหมาะสม เมื่อรวมกับการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังเพียง 50:50 ทำให้ MG4 มอบประสิทธิการการเกาะถนน และการทรงตัวที่ดีไม่แพ้ใคร และมอบพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง แม้ตัวถังกระทัดรัด

ด้านช่วงล่างของรถรุ่นนี้ เริ่มจากระบบกันสะเทือนแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบ 5-Link, ดิสก์เบรก 4 ล้อ, พวงมาลัยไฟฟ้าจาก Bosch Huayu เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน, ล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 16 – 17 นิ้ว (รุ่น AWD จะได้ขนาด 18 นิ้ว)

ปิดท้ายด้วยระบบขับเคลื่อนมาพร้อมโหมดขับขี่ 5 โหมด ได้แก่ ECO / NORMAL / SPORT / SNOW / FREE และโหมดการชาร์จพลังงานไฟฟ้าจากระบบเบรก (สามารถปรับได้ 3 ระดับ)

ฟีเจอร์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย

เริ่มจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร จะได้รับเบาะปรับแมนนวล – ไฟฟ้า 6 ทิศทาง (ขึ้นกับรุ่นย่อย), พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมฟีลเตอร์กรองอากาศรองรับการดักจับฝุ่น PM 2.5, USC TypeC ที่แถวหน้า และมีพอร์ท USB ด้านหลัง, ตัวเลือกลำโพง 4 – 6 ตำแหน่ง เป็นต้น ส่วนภายนอกทุกรุ่นจะได้รับกระจกมองข้างปรับพับไฟฟ้า, ไฟหน้า Smart LED พร้อมระบบ Take me home

อีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจก็คือตัวเรือนไมล์จอดิจิทัล 7 นิ้ว กับจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี Zebra Venus 2.0 Intelligent System รวมถึง iSMART , Apple Carplay, Andriod Auto และระบบสั่งการด้วยเสียง เป็นต้น

และที่ขาดไม่ได้คือเทคโนโลยีความปลอดภัยที่การันตีมาตรฐานระดับโลกอย่างคว้าคะแนน 5 ดาวจาก EURONCAP ซึ่งจะได้รับทั้งระบบ ระบบเบรกไฟฟ้าพร้อม Auto Hold, ระบบควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว ESP, ระบบช่วยเบรก ABS – EBD – EBA, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, Cruise Control ถุงลมนิรภัยรอบห้องโดยสาร เป็นต้น

รวมถึงได้รับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง MG Pilot อาทิ Adaptive Cruise Control, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติป้องกันการชนด้านหน้า, ระบบแจ้งเตือนรถออกนอกเลน พร้อมระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบจำกัดความเร็ว, ระบบปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS เป็นต้น

ดีไซน์

MG4 โดดเด่นด้วยแนวคิดการออกแบบ Energetic Agile ที่ผสมผสานองค์ประกอบที่ทันสมัย เข้ากับเทคโนโลยี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความแตกต่างในด้านดีไซน์ให้เหมือนรถยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะไฟหน้า – ไฟท้าย Cygnus horizontal LED ที่โดดเด่นสวยงาม ควบคู่กับเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว คล่องตัว และล้ำสมัย

สำหรับมิติตัวรถ MG4 ประกอบไปด้วยความยาว x กว้าง x สูง ที่ 4,287 x 1,836 x 1,516 มม. ระยะฐานล้อ 2,705 มม. องศาการเลี้ยว 5.3 เมตร และน้ำหนักรถเปล่าสเปคจีนเริ่มต้นที่ 1,641 มม.

ส่วนสเปคสหราชอาณาจักร จะมีการปรับความสูงลงเหลือเพียง 1,504 และน้ำหนักเริ่มต้นที่ 1,655 กก.

ภายในห้องโดยสารของ MG4 มีการออกแบบที่มุ่งเน้นความกว้าง แต่ยังคงความสะดวกสบายต่อการใช้งาน พร้อมตัวเลือกตกแต่งที่หลากหลายตั้งแต่เบาะผ้าจนถึงเบาะหนัง

ปิดท้ายด้วยราคา MG4 อิงจากสเปคจีน มีให้เลือกมากถึง 4 รุ่น (รวมรุ่น AWD) จะมีราคาตั้งแต่ 129,800 ถึง 186,800 หยวน หรือราว ๆ 6.77 ถึง 9.74 แสนบาท

ทว่าราคาในสหราชอาณจักรจะสูงกว่าระดับหนึ่ง โดยมีให้เลือกถึง 3 รุ่นย่อย (ไม่มีรุ่น AWD) สนนราคาตั้งแต่ 25,995 ถึง 31,495 ปอนด์ หรือราว ๆ 1.24 ถึง 1.37 ล้านบาท


MG4 จัดได้ว่าเป็นรถแฮทช์แบ็คไฟฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ และฟีเจอร์ที่แน่นไม่แพ้ใคร แถมยังมาพร้อมกับประสิทธิภาพการขับขี่ที่ไกลน้อง ๆ SUV EV ในตลาดบ้านเรา ซึ่งสเปคที่จะเข้ามาในไทยนั้นอาจจะเน้นเฉพาะขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมตัวเลือกแบตเเตอรี่ที่ให้เลือก 2 ความจุ ตามตลาดจีน – อังกฤษ รวมถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ จะนำเสนอให้สอดคล้องกับตลาดไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยี iSMART อันขึ้นชื่อ

แต่ในด้านราคานั้น เมื่อประเมินจากตำแหน่งผลิตภัณฑ์รถยนต์ EV รุ่นต่าง ๆ ของ MG ไม่ว่าจะเป็น MG ZS EV และ MG EP ซึ่งคาดว่า MG4 อาจจะวางตำแหน่งกึ่งกลางระหว่า MG ZS EV กับ MG EP ไม่ว่าจะเป็นความจุแบตเตอรี่ เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการท้าชนกับรถต่างค่ายในระดับเดียวกัน อาทิ BYD ATTO3 เพื่อให้สามารถสู้ได้อย่างสูสี ราคาอาจจะอยู่ราว ๆ 1 ล้านบาทต้น ๆ ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ซึ่งหากรวมส่วนลดมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐฯ อีกราว ๆ สองแสนขึ้นไป ก็จะได้ราคาไม่เกินล้าน ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

แฟน ๆ เตรียมจับตาดู MG4 ในราว ๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะจัดตรงกับงาน Motor Expo 2022 ที่จะถึงนี้ว่าจะได้รุ่นอะไรมาเชยชม และได้ราคาเท่าไหร่

เครดิตข้อมูลจาก
saicmotor.com
saicmg.com
mg.co.uk


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง