คัดลอก URL แล้ว

ผ่านฉลุย “ส่วยสติกเกอร์” หมื่นล้าน พบส่วยรถเกือบทุกประเภท

“วิโรจน์” จี้ตำรวจหยุดค้าสำนวน ชี้เดินหน้าปราบส่วยรถบรรทุกต้องแก้กฎหมายคู่กับปราบปราม เผยพบส่วยรถเกือบทุกประเภท ขณะสหพันธ์ขนส่งทางบกฯเชื่อ หากโทษเหมาะสมก็ไม่มีส่วย”

ในรายการเจาะข่าวเด็ด The Day News Update Special ทางช่อง Mono 29 พิธีกร คุณบ๊อบ ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ พูดคุยกับ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และคุณอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ในประเด็นส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก หลังพรรคก้าวไกลออกมาแฉเรื่องดังกล่าว จนมีหลายหน่วยงานรับลูก ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ กระทั่งล่าสุดสหพันธ์การขนส่งฯเอง ก็ได้ส่งมอบหลักฐานเด็ดให้กับพรรคก้าวไกล หวังแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์อย่างถอนรากถอนโคก

พิธีกร : ส่วยทางหลวงวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ถูกพูดถึงตลอดทั้งสัปดาห์ วันนี้มาสานต่อหลังแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ

หลังออกมาเปิดเผยสติกเกอร์ ซึ่งมีมานาน ทำไมจึงเลือกออกมาเปิดเผยช่วงนี้

คุณวิโรจน์ : ความเดือดร้อนเกิดขึ้นตอนนี้ จริงๆมีมา 30 กว่าปี คนที่ทำธุรกิจขนส่งมักจะพูดว่าทำค้าขาย อย่าค้าความ ถ้ากำไรพอเหลือจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะบ้างก็พอไหว แต่นี่เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นจากโควิด แม้รายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ไม่เหมือนกับอดีต แล้วตอนนี้ค่าน้ำมันก็แพงขึ้น มีการตัดราคากัน แล้วยังถูกเรียกส่วย เหมือนทำธุรกิจโดยไม่มีกำไร ซึ่งเมื่อไหร่ที่อยู่ในแวดวงส่วย ก็ต้องอยู่ในไลน์เค้า ต้องโอนเงินทุกเดือน เดือนไหนไม่โอนหรือโอนช้า กลับถูกจิกด่า ทั้งที่เราเอาเงินไปให้เค้าแท้ๆ เหมือนแก๊งทวงหนี้ แต่เราไม่ได้เป็นหนี้ คนรับเงินควรจะสำนึกบุญคุณคนจ่ายส่วย แต่กลับใช้อำนาจข่มขู่

สติกเกอร์ดวงเดียวก็ไม่จบ คิดว่าเหมาจ่าย กลับต้องไปเคลียร์อีกที่ ต้องซื้อสติกเกอร์เพิ่มบานปลายไม่จบ

ประเด็นที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายคือมีการไหว้วานให้ไปขนของ แต่ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร หากเป็นยาเสพติด คนไหว้วานก็คงไม่รับผิด มีทั้งขอซื้อบัตร ขอซื้อตั๋ว ขอดูแลนาย ขอเงินเพิ่มบวกๆ สุดท้ายทำธุรกิจหรือต้องเป็นทาสส่งเงินให้กับคนเหล่านั้น

พิธีกร : อัดอั้นขนาดนั้นเลยใช่มั้ย
คุณอภิชาติ : 99.9% อยู่แล้ว สมมุติวิ่งจากขอนแก่น จะข้ามไปภาคใต้ ต้องซื้ออีกฟาก เพื่อดูแลพื้นที่ภาคใต้ กินเป็นพื้นที่ ถ้าจะคุ้มครองยาวต้องใช้ป้ายพรีเมียม ราคา 25,000-27,000 บาท ต่อคัน แล้วถ้าจะเข้า จ.เพชรบุรี ก็จะเป็นอีกป้ายหนึ่ง ป้ายนี้จะไปถึงใต้สุดเลย พรีเมียมเหมือนกัน

พิธีกร : นี่คือความลำบากของผู้ประกอบการ ที่บอกว่าตอนนี้ค้าขายไม่ดี กว่าที่จะได้กำไรมาชดเชยช่วงโควิด แต่ส่วยต้องจ่ายเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม ที่บอกว่าเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ทนไม่ไหว
คุณอภิชาติ : ตั้งแต่ คสช.เข้ามา จนกระทั่งรัฐบาลลุงตู่ 4 ปีหลัง รุนแรงขึ้น ในอดีตน้ำหนักที่แบกก็ไม่เกิน 10-15 ตันจากน้ำหนักที่กฎหมายกำหนด

พิธีกร : ตอนปี 57 ที่แก้กฎหมาย เป็น 50.05 แล้วส่วนที่เกินจากนี้ก็ต้องไปจ่ายส่วยใช่มั้ย
คุณอภิชาติ : ราคามันไม่สูงขนาดนี้ พอหลังจากยุคคสช. ราคาป้ายปรับขึ้น ความหลากหลายของสติกเกอร์มากขึ้น ก็มาจากเจ้าหน้าที่เองบ้าง ผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่บ้าง ก็มีมาเรื่อย ๆ

พิธีกร : ที่คุณอภิชาติบอกว่ารถบรรทุกที่อยู่ในสหพันธ์ ไม่จ่าย
คุณอภิชาติ : ไม่จ่าย เจอการกดดัน ทั้งอ้างว่าป้ายลบเลือน รถที่วิ่งมาจากต่างจังหวัด ผ่านสวน ผ่านฝุ่น เค้าก็ตั้งข้อหาว่ารถสกปรก แล้วดอกยางเค้าก็จะมาวัดเลย ไฟที่อยู่บนหลังคาจะมี 5 ดวง ถ้าใครติดเพิ่มให้สว่างขึ้น ก็โดน 5,000 บาท นี่เป็นสิ่งที่คนทำถูกกฎหมายโดน

พิธีกร : ถ้าทำถูกกฎหมาย ไม่มีผิดเลยจะโดนมั้ย
คุณอภิชาติ : โดนหมด มีหลากหลาย กฎจราจรมีมาตั้งแต่ปี 2490 แล้ว บางฉบับยังใช้อยู่ แล้วก็มีการเพิ่มกฎข้อบังคับมา แล้วคนที่ออกกฎหมายไม่ได้มาควบคุม ก็ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เปิดมาตรามาจับ
คุณวิโรจน์ : ต่อให้ไม่ผิดกฎหมาย ลองคิดถึงคนขับรถ ถูกเรียกตรวจบ่อย ๆ เสียเวลา ส่งสินค้าไม่ทันโดนปรับ โดนลูกค้าต่อว่า โดนตัดออเดอร์ แล้วคนที่ทำถูกทั้งหมดก็โดนเรียกตรวจเรื่อย ๆ หากเป็นพนักงานขับรถก็ไม่มีความสุข เป็นตนโดนแบบนี้ 1-2 เที่ยวก็ลาออกแล้ว มันเครียด นี่ยังไม่นับโทษจุกจิก ตั้งคำถามว่าคนที่ทำธุรกิจในรูปแบบสุจริตเพื่ออะไร ต้องการความสะดวกสบาย แต่ตอนนี้คนที่จ่ายสวยกลับได้รับความสะดวกสบาย จะทำอะไรก็ได้ แบกน้ำหนักเท่าไหร่ก็ได้ รถจะทรุดโทรมก็ได้ มันกลับตาลปัตรกัน คนที่ยอมจ่ายส่วยได้รับการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ในขณะที่คนที่ตั้งใจสุจริตกลับถูกจับผิดทุกเม็ด เหมือนเราทำงาน เจ้านายเรียกคุยทุกวัน บอกไม่มีอะไรเรียกคุยเฉยๆแต่คุยทุกวัน ก็ไม่มีความสุข
คุณอภิชาติ : แล้วปัญหาที่ตามมาคือถ้าหาจุดผิดพลาดไม่ได้ก็จะจับพนักงานขับรถตรวจปัสสาวะ

พิธีกร : ก็ตรวจสิ ใช้เวลาไม่นาน
คุณอภิชาติ : ก็ตรวจ บางทีไม่มีเลยแต่ทำให้มีได้ ค่าเคลียร์เรื่องปัสสาวะประมาณ 5-6 หมื่นบาท ถ้าโดน

พิธีกร : แล้วอยู่ได้ยังไง
คุณอภิชาติ : ต้องบอกก่อนว่า สำนักงานของพวกเราที่ทำโลจิสติก ก่อนที่จะไปรับสินค้า เราจะมีการตรวจสุขภาพ ความดัน เบาหวาน ตรวจปัสสาวะเพื่อหาแอลกอฮอล์ จึงจะปล่อยงาน แต่ไปถึงกลางทางกลับถูกตรวจปัสสาวะโดยไม่มีเจ้าหน้าที่อนามัยมาร่วมด้วย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วบอกให้ไปฉี่ในป่า เราก็ไม่รู้ เปลี่ยนเป็นฉี่สีม่วงก็มี มีบ่อย

พิธีกร : แล้วที่ทำถูกกฎหมาย 4 แสนกว่าคันที่อยู่ในสมาพันธ์ เค้าอยู่ได้ยังไง
คุณอภิชาติ : ทุกวันนี้ผมถูกกดดันจากสมาชิกว่าทำไมประธานมาชวนให้อยู่ภายใต้กฎหมาย แล้วเคยรับปากว่าจะแก้ไขตรงนี้ให้ ก็บอกว่าทำถึงที่สุดแล้ว ถึงหัวหน้ารัฐบาลแล้ว ถึงผบ.ตร.แล้ว ถึงคมนาคมแล้ว แต่ทุกอย่างก็อย่างที่เห็น ตั้งแต่ปี 39 แล้วเป็นแบบนี้

พิธีกร : ไม่หายเลยเหรอ
คุณอภิชาติ : ที่หนักที่สุดก็ในยุค คสช.
คุณวิโรจน์ : ถามว่าทำไมที่ผ่านมา พอเป็นข่าวก็หายไปพักหนึ่ง จริง ๆ สติกเกอร์มีมานานแล้ว พอเป็นข่าวก็หายไป 6 เดือน – 1 ปี เพราะเค้าปราบอย่างเดียว ย้ายผู้การทางหลวงเซ่น บางทีอาจจะผิดจุด เพราะระบบไม่ได้ถูกแก้

พิธีกร : เค้าขอย้ายตัวเองเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบ
คุณวิโรจน์ : ท่านแรกท่านพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ทีนี้การย้ายตัวเองมันเป็นการแก้ปัญหาที่คน แต่ถ้าระบบมันไม่แก้ สุดท้ายก็เหมือนเดิม

พิธีกร : อย่างนี้ถ้าจะแก้ระบบ เห็นบอกว่ามีแนวทาง
คุณวิโรจน์ : เรื่องปราบปราม ก็ต้องทำจริงจัง ทุกคนไม่แย้งอยู่แล้ว แต่สำหรับนโยบายในการอุดหนุน สังเกตตอนน้ำมันขึ้น รัฐบาลที่ผ่านมาไม่พยายามใช้นโยบายอุดหนุนแบบพุ่งเป้า เช่นอุดหนุนเรื่องเงินชดเชย หรือเงินหนุนหนุนค่าพลังงานให้รถโดยสารสาธารณะ รถขนส่ง เพื่อให้ราคาไม่สะท้อนมายังค่าสินค้าและบริการ ซึ่งมันจะกระทบกับค่าครองชีพ ส่วนใหญ่มักจะอุดหนุนทุกหัวจ่าย แต่เราไม่ได้เพิ่มเติมการอุดหนุนมายังกิจการขนส่งและรถโดยสารสาธารณะ สุดท้ายเค้าแบกรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยที่รู้สึกว่ารัฐไม่ได้เหลียวแล แล้วยังมากดเค้าไม่ให้ขึ้นค่าขนส่ง สุดท้ายเค้าก็ต้องแบกเพิ่ม พอแบกน้ำหนักเพิ่มก็สบโอกาส ด้วยสภาวะความเป็นจริงมันอยู่ไม่ได้ เค้าก็ต้องแบกน้ำหนักเพิ่ม ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำไม่ดี

พิธีกร : เค้ามากดค่าขนส่งด้วย น้ำมันขึ้น
คุณวิโรจน์ : ก็ตัดราคากัน รัฐไม่มีนโยบายในการอุดหนุนแบบพุ่งเป้าไปยังกิจการขนส่งและรถยนต์สาธารณะ สุดท้ายต้องแบกน้ำหนักเพิ่มเพื่อลดต้นทุนลง ก็สบโอกาสเจ้าหน้าที่บางคนเข้ามาขายสติกเกอร์โดยเอากฎหมายมาขู่ ถ้ามันไม่แพงเค้าจ่ายไหวก็จ่าย แต่หลังๆเริ่มมากขึ้น

พิธีกร : ตอนนี้ถ้าสมมุติว่าไม่มีส่วย เราลดน้ำหนักลงมาตามมาตรฐานเลย ค่าครองชีพเราจะแพงขึ้นมั้ย
คุณวิโรจน์ : อยู่ที่นโยบายการอุดหนุนของรัฐบาลด้วยส่วนหนึ่ง สองคือเรื่องกฎระเบียบที่จุกจิก ก็ต้องถึงเวลาที่ต้องทบทวนว่าเรื่องน้ำหนักเราเอาหลักเกณฑ์วิศวกรรมมาคำนวนกันใหม่ดีมั้ย ว่าตามหลักวิศวกรรม จำนวนเพลาแบบนี้ จำนวนล้อแบบนี้ มันควรจะเป็นเท่าไหร่ ตรงนี้ไม่ได้เข้าข้างว่าต้องเพิ่มหรือลดน้ำหนัก หรือคงเดิม แต่เรื่องแบบนี้ใช้หลักวิศวกรรมในการคำนวณได้ ปรึกษาสภาวิศวกร หรือถามความเห็นจากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยได้ มีคำตอบอยู่แล้ว ไม่ต้องเถียงกัน

พิธีกร : การกำหนดกฎหมายมันมาจากคำตอบเหล่านี้ ใช่มั้ย ที่มีการคำนวนมาก่อนหน้านี้
คุณวิโรจน์ : ถูกต้อง แต่เดิม 52-58 เปลี่ยนมาเป็น 50.05 ตัน ก็ต้องถามว่าใช้การคำนวณอะไรถึงเปลี่ยนมาเป็น 50.05ตัน และที่ผ่านมา 52-58 ก็เชื่อว่ามีหลักเกณฑ์ในการคำนวนเหมือนกัน

พิธีกร : นั่นหมายความว่าแนวทางในการเสนอเพื่อแก้กฎหมาย อันดับแรกคือปรับตัวเลขน้ำหนัก
คุณวิโรจน์ : อาจจะมีเรื่องระเบียบต่างๆ ตัวกฎหมายหลักเกณฑ์ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ที่เป็นอุปสรรคของคนที่ทำมาหากินแบบสุจริต ก็ต้องไปดูว่าเป็นจริงมั้ย สอดคล้องกับหลักสากลมั้ย หน้างานจริงเป็นไปได้มั้ย อันนี้เป็นเรื่องกฎหมาย กฎหมายมันมี 2 มิติ มิติหนึ่งคือตัวเนื้อหาสาระของกฎหมาย อีกตัวหนึ่งคือระเบียบวิธีการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าตัวระเบียบวิธีการบังคับใช้กฎหมาย มันเอื้อให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจล้นเกิน คิดจะโบกก็โบก ไปถ่วงเวลาทำให้เค้าเสียเวลา วันหนึ่งแทนที่เค้าจะวิ่งได้ 2-3 เที่ยว ก็วิ่งได้เที่ยวเดียว แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดที่อยากจะเล่าคือ พนักงานสอบสวนทั่วประเทศฟังดีๆ หยุดค้าสำนวนได้แล้ว

พิธีกร : คืออะไร ค้าสำนวน
คุณวิโรจน์ : เรายึดที่ 50.05 ตันก่อน อยู่ดี ๆ สินค้าพืชผลการเกษตร เวลาขับรถฝ่าฝน น้ำอุ้มไว้ที่ตัวกระบะ อยู่ดี ๆ น้ำหนักเกินไปซัก 80 – 100 กิโลกรัม คุณคิดว่าเจตนาเค้าจะทุจริตจริงเหรอ บางครั้งตาชั่งก็ไม่เท่ากัน 4 แสนคันของคุณอภิชาติ มีการชั่งก่อนออกอยู่แล้วซึ่งมีการเปรียบเทียบเครื่องชั่งตามมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าด่านชั่งต่างๆ มีการเปรียบเทียบหรือไม่

พิธีกร : ให้มีมาตรฐานเดียวกัน
คุณวิโรจน์ : ใช่ แต่คราวนี้ก็อาจมีเรื่องความชื้นต่างๆ แต่ต้องดูที่เจตนา คนที่จะแบกเกินคงไม่เกินแค่ 100 กิโลกรัมอยู่แล้ว เวลาจะเกินเค้าเกินที่ 30 ตัน แต่ปรากฏว่าโทษไม่ได้เปรียบเทียบปรับ โทษคือยึดรถเหมือนกันไม่ว่าจะเกินเท่าไหร่ ทีนี้เกิดการค้าสำนวนคืออะไร เจ้าหน้าที่ด่านชั่งบางคนก็เชื่อมโยงกับพนักงานสอบสวน ย้ำว่าบางคน ตำรวจพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับงานจราจรด้วย เชื่อมกันก็ส่งคดีให้กับพนักงานสอบสวน ก็เลือกทรัพย์ เดิมเป็นการยึดรถนายจ้างก็เปลี่ยนสัญญาเป็นการเช่าขับ เปลี่ยนความสำคัญจากลูกจ้างขับรถกับนายจ้าง เป็นผู้เช่าขับกับผู้ให้เช่า

พิธีกร : นายจ้างมีแค่เอารถไปให้เช่า
คุณวิโรจน์ : เพื่อให้เอารถคืนกลับมาได้

พิธีกร : ถ้าเป็นการเช่ารถไปขับ เจ้าของที่ให้เช่าไม่ผิด
คุณวิโรจน์ : ก็ถือว่าไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ถ้าเป็นนายจ้างให้ลูกน้องขับ ก็ถูกยึดรถได้ แล้วรถคันหนึ่ง ก็ 3.5 ล้านบางทีอาจจะมากกว่านั้น แล้วที่สำคัญที่สุด ต่อให้ไม่ริบ ถูกอายัดไว้ระหว่างดำเนินคดีก็ทมาหากินไม่ได้
คุณอภิชาติ : บางทีเป็นปีเลย เป็นแบบนี้จริงๆ สิ่งที่ส.ส.วิโรจน์พูดมาถูกทั้งหมด แต่ขอเพิ่มรายละเอียด เมื่อเร็ว ๆ นี้เกินแค่ 250 กิโลกรัม ถูกจับกุม เสีย 5 หมื่น คือส่วยที่ขอเปลี่ยนสำนวน รถ 1 คันต่อเที่ยว ใช้เวลาไป-กลับ 3 วัน จะเหลือกำไรประมาณ 2,000 กว่าบาท หลังจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน หักลบกลบหนี้ไปแล้ว 2,000 กว่าบาทที่เหลือ ยังไม่ได้คำนวณถึงการสึกหลอของยางอีก

พิธีกร : หมายความว่ารถคันนี้วิ่งตามกฎหมายมาทั้งเดือน มาโดนคดีนี้คดีเดียวหมดเลย
คุณอภิชาติ : ใช่ครับ
คุณวิโรจน์ : แล้วรู้ไหมเวลาศาลท่านปรับ ท่านก็พิจารณาว่าไม่มีเจตนา แต่ผิดจริง ก็ปรับ ส่วนใหญ่คือ 3,000-5,000 บาท แต่ปรากฏว่าก็ถูกพนักงานสอบสวนบางคนที่ไม่ดี ขู่ว่าจะริบรถ ต้องจ่ายส่วย50,000-70,000 บาท อย่างถูกก็ 30,000 บาท
คุณอภิชาติ : บางครั้ง 100,000-150,000 บาท

พิธีกร : ไม่จ่ายถูกริบจริงๆใช่มั้ย
คุณอภิชาติ : ที่จ่ายแสนกว่าบาท พวกที่แบกน้ำหนักจริงๆ เพื่อวิ่งเต้นไม่ให้ถูกยึดรถ
คุณวิโรจน์ : มีคนที่เกินมาแบบไม่มีเจตนา ต้องไปจ่ายเพราะกลัวถูกริบรถ กลัวถูกยึดอุปกรณ์ทำมาหากิน มีถูกพลเมืองดีชี้ให้จับ ก็ขายสำนวน ค้าสำนวนได้อีก เรียกเงิน 70,000-100,000 บาท เพื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์จากลูกจ้างกับนายจ้างเป็นผู้เช่ากับให้เช่า และเปลี่ยนเนื้อหาจาก 100 ตัน เป็น 52 ตัน เพื่อให้ศาลลงโทษแบบลหุโทษ แบบนี้ก็มี ต้องส่งสัญญาณเตือนว่าอย่าทำเลย

พิธีกร : ต้องถามผู้ประกอบการ ตอนนี้มีความมั่นใจกับก้าวไกล กับคุณวิโรจน์มั้ย ว่าจะแก้ไขปัญหาส่วยได้
คุณอภิชาติ : มั่นใจเต็ม 100 เพราะอดีตที่ผ่านมาเวลาเค้ารับเรื่องของเรา ก็บอกเพียงจะติดตามและส่งให้ แต่นี่คุณวิโรจน์เจาะลึกเลย ลุยเองด้วย จริงๆ 1-2 วันแรกที่เผยแพร่ตะวันยิ้มหรือกระต่าย ยังคิดว่าเล่นมุกอะไร ก็ดูอยู่

สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมขณะนี้เพราะประชาชนได้พิสูจน์แล้วว่า 8-9 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่ถอยหลังลงคลอง เพราะฉะนั้นอะไรที่จะเปลี่ยนภาคธุรกิจให้ดีขึ้น จังหวะนี้แหละ ส่วนการไม่มีประสบการณ์ ทุกคนไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด ในเมื่อมีการเรียนรู้ก็ทำให้เรามั่นใจว่าทำจริง

พิธีกร : แล้วทางคุณวิโรจน์ สติกเกอร์ได้ข้อมูลจากไหนมา
คุณวิโรจน์ : มาจากผู้ประกอบการกิจการขนส่ง สหพันธ์เข้ามาประสานงานในภายหลัง พอเห็นว่ามีข้อมูล ก็มีการติดต่อมาพูดคุยกัน ทักมาทางเพจ เราก็อยากแก้ปัญหาจริงๆ การมีประสบการณ์บางครั้งก็มีอุปสรรค มีเรื่องบุญคุณกันมา แต่ไม่มีใครมามีบุญคุณกับก้าวไกล และก้าวไกลก็ไม่ได้รับเงินทุนสีดำ สีเทาที่เกี่ยวกับธุรกิจแบบนี้ ส่วยเราก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย จึงสามารถจัดการได้ตามครรลองครองธรรม เราไม่ได้ปราบอย่างเดียว อย่างเรื่องกฎหมายก็ต้องดูเรื่องเปรียบเทียบปรับด้วยหรือไม่

มีความสุขมากๆที่ได้คุยกับทางสหพันธ์ เค้าบอกว่าถ้าผิดก็ยินดีรับผิด แต่อยากให้โทษสมสัดส่วนที่ควรจะเป็น

พิธีกร : เพราะฉะนั้นจึงเสนอแนวทางการลงโทษ ถ้าเกินเล็ก ๆ น้อย ๆ
คุณวิโรจน์ : เปรียบเทียบปรับ ก็ต้องไปแก้กฎหมาย ไม่ใช่เกิน 100 กิโลกรัม จะไปริบรถเค้า มันก็เอื้อประโยชน์ให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ดีบางคนใช้เป็นเครื่องมือในการรีดไถอีก

พิธีกร : แนวทางของเราในวันนี้จะมีตออะไรมาขวางอีกมั้ย
คุณวิโรจน์ : ก็คงทำงานร่วมกันกับทางสหพันธ์ขนส่งทางบกฯ และสมาคมผู้ประกอบการด้านการขนส่งอื่นๆ แก้ไขกฎระเบียบต่างๆให้มันเป็นจริง และสอดคล้องกับหลักวิศวกรรม

พิธีกร : มีการประเมินมั้ยว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ ส่วยรถบรรทุกจะได้หมดไป
คุณวิโรจน์ : คิดว่าตอนนี้เบาลงแล้ว แต่ที่ต้องแก้ต่อคือการไม่ให้เกิดขึ้นอีก และผู้ประกอบการที่สุจริตต้องอยู่รอดได้ พอแก้กฎหมาย เดี๋ยวนโยบายในการสนับสนุน อุดหนุน หรือช่วยเหลือผู้ประกอบการกิจการขนส่งและรถโดยสารสาธารณะ ที่เราบอกว่าจะทำนโยบายพุ่งเป้า ก็ต้องมาพิจารณากัน ถ้าเค้าได้รับการดูแลให้สามารถทำกำไรได้โดยสุจริต ไม่มีกฎระเบียบอะไรให้เจ้าหน้าที่ไปจุกจิก ก่อความเดือดร้อนรังควาญเพื่อรีดเอาส่วย ก็ไปกันได้ สุดท้ายต้องเอาเทคโนโลยีมาใช้ด้วย ซึ่งวันนี้เรามีการชั่งน้ำหนักรถวิ่งแล้ว ถ้าเกินเท่าไหร่ เป็นลหุโทษก็ส่งใบสั่งทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังผู้ประกอบการ เพราะเรามีกล้องจับ พอส่งแล้วผู้ประกอบการก็ชำระค่าปรับทางออนไลน์ ไม่ต้องมาถูกรีด เจ้าหน้าที่ที่ทำงานสุจริตก็สบายใจ เพราะเราแก้ปัญหาแบบทั้งระบบ ปราบปราม แก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โทษเปรียบเทียบปรับสมสัดส่วน มีการใช้เทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือยกเลิกระบบตั๋วและการซื้อขายตำแหน่งในแวดวงข้าราชการ ถ้าทำทั้ง 4 ธงได้ ก็จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

พิธีกร : ถ้าสมมุติว่า ก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาล จะมีโอกาสเกิดเกมส์พลิก ส่วยก็จะหายไปพร้อมก้าวไกลหรือไม่
คุณวิโรจน์ : วาระในการทำให้ประเทศนี้อยู่ในร่องในรอย ในความถูกต้องปราศจากคอร์รัปชัน คิดว่าไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น อยู่ที่ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมร่วมขับเคลื่อน ไม่ว่าก้าวไกลอยู่ในสถานะใด คอร์รัปชันเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้ เราจะใช้กลไกอำนาจเท่าที่เรามีอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะสกัดกั้นไม่ให้เกิดปัญหาคอร์รัปชัน

พิธีกร : ตอนนี้มีความสบายใจบ้างหรือยัง
คุณอภิชาติ : ทนมาตั้ง 20 กว่าปี ถ้าจะรออีก 4 ปีข้างหน้า ก็ยินดีรอ เพราะเรามีความมั่นใจกับการไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในฐานะประชาชนเราทำใจอยู่แล้วเพราะเราเห็นปัญหาที่รายล้อม เราเข้าใจ ในอดีตก็เคยถูกเตะตัดขา ก็ต้องมุ่งมั่นอดทน

พิธีกร : เรื่องนี้ต้องเอาให้สุดมั้ย
คุณวิโรจน์ : ถ้าการจัดการกับปัญหาเรื่องส่วยแล้วจะไม่ได้เป็นรัฐบาล ประเทศนี้ก็แปลกแล้ว ก็เอารัฐบาลแบบส่วยๆไปแล้วกัน

พิธีกร : มีส่วยอะไรอีกอยู่ในมือ ที่จะเอามาปราบปราม
คุณวิโรจน์ : อย่างเมื่อกี้เราก็พูดถึงเรื่องการค้าสำนวน ส่วยลอตเตอรี่ ศุลกากร แรงงานต่างชาติก็ยังมีประเด็น รถตู้ รถนักเรียน ทุกรถ รถกระบะ สติกเกอร์มันเยอะ
คุณอภิชาติ : ยืนยันว่าทุกประเภท

พิธีกร : คุณวิโรจน์ต้องนั่งตำแหน่งไหน
คุณวิโรจน์ : ยังไม่สำคัญ คำว่าหมดไปหรือเปล่า คนที่ทำไม่ดีต้องแอบทำแบบเงียบๆ โตไม่ได้ โตเมื่อไหร่ถูกปราบเรียบ


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง