คัดลอก URL แล้ว
“อาลัยเหยื่อความรุนแรง ถอดบทเรียนสัญญาณเตือน” เปิดใจพ่อน้องจีจี้

“อาลัยเหยื่อความรุนแรง ถอดบทเรียนสัญญาณเตือน” เปิดใจพ่อน้องจีจี้

“พ่อน้องจีจี้เชื่อหากได้พูดคุยกับแฟนลูกสาว จะไม่เกิดเหตุรุนแรง ขณะมูลนิธิหญิงไทยก้าวไกลเปิดสถิติ คนรักทำร้ายกันปีละเกือบ 400 เคส แนะสังเกต 4 สัญญาณ ”

ในรายการเจาะข่าวเด็ด The Day News Update Special ทางช่อง Mono 29 พิธีกร คุณบ๊อบ ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ พูดคุยกับคุณชินโชติ ปรีดาเจริญ พ่อของน้องจีจี้ เน็ตไอดอลชื่อดัง ที่พบถูกยิงเสียชีวิตพร้อมแฟนหนุ่มนักเรียนเตรียมทหาร ภายในห้องพักคอนโดหรูย่านอโศก และเปิดสถิติความรุนแรงในคู่รักที่เพิ่มมากขึ้น จากคุณอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ซึ่งมาร่วมถอดบทเรียนความรุนแรงด้วย

พิธีกร : ตอนนี้คุณพ่อปรับสภาพความรู้สึกยังไงบ้าง
พ่อน้องจีจี้ : ยังไม่ได้ แต่เราก็ต้องรับให้ได้ จริงๆเมื่อเดือนกว่าๆ ก็ไปหาที่คอนโดที่เกิดเหตุ น้องยังทำขนมปัง อโวคาโดให้กิน วันอาทิตย์นี้จะไปหาเพื่อเลือกขวดที่น้องจะทำครีมหมักผม เค้าส่งมาเมื่อคืนวันที่ 17 คุยกับเค้า เราก็คุยกันน้องบอกจะทำธุรกิจครีมหมักผม ได้สูตรมาจากเกาหลี กำลังให้โรงงานแกะสูตรอยู่ ก็บอกลูกว่าดีเลย จริงๆลูกรู้เรื่องธุรกิจ เมื่อก่อนตอนเด็กๆไปไหนด้วยกัน ตั้งแต่เล็กๆก็พาไปไหนด้วยกัน สนิทมากที่สุดในลูก 4 คน

พิธีกร : ม.6 จี้จี้มาอยู่กับแม่เพื่อเรียนมหาวิทยาลัย แต่ยังติดต่อกับคุณพ่ออยู่ แม้กระทั่งคอนโดนี้คุณพ่อก็เป็นคนติดต่อ
พ่อน้องจีจี้ : รู้ว่ามาอยู่คอนโดนี้ คอนโดนี้ก็เคยไป คิดว่าลูกอยู่กับแม่ เพิ่งรู้จากข่าวว่าลูกอยู่กับคนอื่น

พิธีกร : ตอนนั้นมีสัญญาณอะไรที่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เพราะคบกับผู้ชายคนนี้ที่มีอาวุธอยู่กับตัว
พ่อน้องจีจี้ : ไม่ได้รู้ทั้งหมด ไม่ได้เข้าไปเจอลูก มีแต่ให้เงินค่าเทอม ค่าใช้จ่ายบางส่วน แต่เค้ามีรายได้ของเค้า แล้วแต่เค้าอยากจะขอก็ให้ตามเงื่อนไข ตามเหตุผล

พิธีกร : ระหว่าง 2 ปี ที่จีจี้อยู่กับคุณแม่มีระแคะระคายเรื่องที่คบกับแฟนคนนี้มั้ย
พ่อน้องจีจี้ : ไม่มีเลย ผมไม่ดูโซเชียล แค่ดูไลน์ แล้วก็โทรเรื่องงาน โทรหาลูก สัญญาณไม่รู้เลย ถ้ารู้จะไม่ให้เกิดเรื่องนี้แน่นอน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

พิธีกร : ถ้าย้อนไปแล้วพ่อรู้ว่าลูกคบกับผู้ชายคนนี้ แล้วถูกทำร้ายร่างกาย
พ่อน้องจีจี้ : ผมก็จะเข้าไปอยู่กับลูก สามารถไปอยู่ได้เลย แล้วค่อยเดินทางไปทำงาน ถ้ามีสัญญาณจะเข้าไปถามปัญหาลูก ถ้ารู้ก็ต้องคุยกับผู้ชาย

พิธีกร : ไม่แน่ใจว่าคุณแม่รู้มั้ย
พ่อน้องจีจี้ : คุณแม่รู้ เพิ่งมารู้ได้ไม่นาน

พิธีกร : แล้วได้คุยบกับคุณแม่มั้ย ว่าทำไมไม่แยกลูกออกมา ไม่ห้ามปราม
พ่อน้องจีจี้ : จริงๆ คิดว่าก็คงห้ามปราม พ่อแม่ทุกคนก็รักลูก แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ไม่แน่ใจ ถ้าเป็นผมจะมีวิธีคุยกับลูกกับผู้ชาย ให้คบกันได้แต่การศึกษาต้องมาก่อน เค้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ปล่อย แต่ไม่ได้ปล่อยจนเลยเถิด ผมมั่นใจเกินไปว่าอยู่กับแม่คงอยู่ได้ คิดว่าเอาอยู่

พิธีกร : หลังเกิดเหตุได้คุยกับคุณแม่หรือยัง
พ่อน้องจีจี้ : ได้คุยบางส่วน แม่เค้าบอกว่าลูกๆกลัวพ่อไม่สบายใจ กลัวว่าจะไปพูดอะไรไม่ดีแล้วจะเกิดเรื่อง แต่ผมเลี้ยงลูกมาให้อิสระแต่ต้องมีกฎระเบียบ

พิธีกร : น้องๆของจีจี้รู้เรื่องนี้มั้ยว่าพี่เจอเหตุการณ์แบบนี้
พ่อน้องจีจี้ : น้องสาว 2 คนที่อยู่กับแม่น่าจะรู้ แต่เค้าไม่เคยบอกผม

พิธีกร : หลายครอบครัวที่เป็นแบบนี้ ลูกอาจจะกังวลไม่อยากให้พ่อแม่รับรู้ กลัวไม่สบายใจกลัวมาห้ามปรามเกิดขึ้นเยอะ
คุณอังคณา : ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเจอ น้องที่เป็นวัยรุ่นที่มีแฟนก็จะไม่ค่อยบอกว่าอยู่กับแฟน หรือคบกับแฟนคนนี้ อย่างที่พ่อบอก ว่าน้องๆก็กลัว เพราะหลายครอบครัวยังรับไม่ได้กับการที่ออกมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ สังคมมองว่าผู้หญิงอาจจะไม่ดีหรือเปล่า หรือว่าการอยู่ก่อนแต่งแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าอายในสังคม ในหลายครอบครัวก็ไม่ได้เปิดโอกาส หรือว่าฟังในสิ่งที่น้องๆได้บอก

พิธีกร : คือถ้าเปิดมาก็รับไม่ได้
คุณอังคณา : ใช่ อันนี้เป็นทัศนคติที่สังคมยังเป็นอยู่ หลายครอบครัวยังเข้มแข็งกับความคิดนี้

พิธีกร : ย้อนไปที่คุณพ่อ ถ้ารู้ว่าน้องจีจี้ไปอยู่กับแฟนจะรับได้มั้ย
พ่อน้องจีจี้ : รับได้ แต่ต้องมีการพูดคุยกัน เรื่องสำคัญที่สุดคือย้ำเสมอถ้ารู้ว่าทุบตี มีเหตุแบบนี้ก็ต้องคุยกับลูก กับฝ่ายชายไม่ให้เกิดปัญหานี้ เพราะถ้าเกิดครั้งแรกก็จะมีอีก เราก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน แต่สมัยนั้นไม่มีแบบนี้ สังคมเราเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะ เทคโนโลยีต่างๆ ทุกอย่างมีอะไรมาแปรผันเยอะ สังคมเดี๋ยวนี้น่ากลัว ถ้าคนไม่รู้จักใช้ชีวิต ก็เป็นเหยื่อ

พิธีกร : ถ้าไปถึงขั้นมีปืนแล้วพ่อรู้
พ่อน้องจีจี้ : ต้องดึงลูกออกมาให้ห่าง เราก็ต้องคุยกับลูกให้เข้าใจ เมื่อก่อนไม่รู้

พิธีกร : เห็นว่าสถิติการใช้อาวุธในคู่รักเป็นสถิติที่น่ากลัวมาก
คุณอังคณา : ใช่ค่ะ จากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิจากข่าวหนังสือพิมพ์ 1 ปีจะมีประเด็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัวเกือบ 400เคสต่อปี และ 50% ประมาณ 200 คน เสียชีวิตจากในครอบครัวและสถานการณ์ความสัมพันธ์จากคู่รัก เป็นสถิติที่ค่อนข้างสูงมากสถิติความรุนแรงในคู่รักสูงพอกับสถิติความรุนแรงระหว่างคู่สามีและภรรยา อาวุธปืนเป็นอันดับแรกของการใช้ความรุนแรง อันดับ 2 คือมีด อันดับ 3 คือทำร้ายร่างกาย สถานการณ์ของน้องจีจี้เป็นสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นตามที่เก็บข้อมูล

พิธีกร : หากย้อนเวลาพ่อจะเข้าไปคุย เป็นวิธีการที่ถูกต้องมั้ย
คุณอังคณา : ใช่ สิ่งที่คุณพ่อพูดเป็นการแก้ปัญหาที่ตรง การเข้าไปหาข้อมูล คุยกับลูก รู้ว่าน้องเป็นแบบไหนจะทำให้เด็กอุ่นใจมากขึ้น สามารถบอกเล่า และคุณพ่อบอกว่าจะไปคุยกับแฟนของลูกสาว อันนี้คือพ่อใช้อำนาจที่เหนือกว่าหยุดพฤติกรรมรุนแรงที่เกิดขึ้นกับลูกสาว เป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ เพื่อให้หยุดพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงกับลูกสาวเรา ทั้งเรื่องคำพูดไม่ดี การข่มขู่และการใช้ความรุนแรงทางด้านร่างกาย

พิธีกร : นั่นไม่ได้หมายความว่าจำเป็นจะต้องเลิก
คุณอังคณา : ไม่ แค่เข้าไปพูดคคุย ถ้าหลายคนทำแบบนี้เราพบว่าผู้ที่กระทำความรุนแรงจะไม่ทำ เพราะรู้ว่ามีคนที่จับจ้องอยู่

พิธีกร : ถ้าเป็นคุณแม่ล่ะ
คุณอังคณา : คุณแม่สามารถหาข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวได้ ถ้าได้เจอลูกสาวจะเห็นอากัปกิริยา ความไม่สบายใจ อึดอัดกับสิ่งที่เกิด เพราะน้องอยู่กับคุณแม่ก็จะสังเกตสิ่งที่เกิดกับลูกสาวแล้วลองถามดู

พิธีกร : แม่ก็สามารถเป็นตัวแทนได้ ไม่ได้อยู่ที่เพศ ว่าพ่อเป็นผู้ชายต้องคุย
คุณอังคณา : ใช่ เข้าไปพูดคุยได้ ให้รู้ว่าอยู่ในการรับรู้และมีคนที่เป็นผู้ใหญ่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อทำให้การซัพพอร์ตระหว่างครอบครัวแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้

พิธีกร : ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เห็นว่ามีสัญญาณบอกเหตุ มีกี่ข้อ กี่เรื่อง
คุณอังคณา : ในเรื่องวงจรความรุนแรง ในน้องจีจี้จะเห็นชัดว่าวงจรความรุนแรงที่เกิดวงจรแรก เกิดความคุกรุ่น ทะเลาะกันก่อนจะใช้ความรุนแรงทุบตี ด่ากัน จากนั้นน้องผู้ชายก็ขอคืนดี มีง้องอนกัน จากนั้นก็จะมีความสุขร่วมกัน แล้วก็เข้าสู่วงจรเดิม เป็นวงจร 4 สเต็ป ความรุนแรงในครอบครัว ถ้าจับสัญญาณได้ตั้งแต่เริ่มคุกรุ่น ก่อนที่จะเกิดความรุนแรง จะมีสัญญาณเรื่องการหึงหวง การทำให้ขายหน้า การแบล็กเมล์เอารูปบางอย่างไปเผยแพร่ รวมถึงการข่มขู่ต่างๆ

พิธีกร : ของน้องจีจี้ก็โดนข่มขู่แบบนี้ ย้อนไปที่คุณพ่อ ที่บอกว่าน้องจีจี้กำลังมีความฝันแล้วกำลังสร้างธุรกิจใหม่ ช่วงนี้จีจี้มีการแสดงอากัปกิริยาอะไรที่เป็นข้อสังเกตมั้ย
พ่อน้องจีจี้ : มีความกังวล ลูกบอกว่าถ้ามีเวลา ให้มานอนกับหนูบ้าง เป็นคำพูดแปลกๆที่ไม่เคยพูด ก็บอกว่าจะไปวันอาทิตย์ เค้าก็มีพูดว่าอยากกลับมาหาเพื่อนที่นครปฐม เค้าไม่เคยพูดแบบนี้ ก็ฉุกคิดอยู่ว่าลูกน่าจะมีปัญหาอะไร แต่ยังจับสัญญาณไม่ถูก แต่ไม่ได้โทษแม่ ไม่ได้โทษน้องเค้า แต่เรื่องพวกนี้ หญิงหรือชายศักดิ์ศรีเท่ากันหมด น้องอิคคิวทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นหน้า วันก่อนที่เข้าไปก็ไม่เห็นหน้า ก็คิดว่าจะไม่เกิดเหตุแบบนี้ ถ้าได้คุยกับน้องผู้ชาย จากประสบการณ์ที่เราทำธุรกิจมา ก็คงไม่ใช้ความรุนแรงกับเค้า แต่ถ้าเค้าใช้ความรุนแรรงกลับมาเราก็ต้องถอย ต้องดึงลูกเราออกมา แต่เราไม่ได้คุยกับลูกตรงนี้เลย มันช้าไปทั้งหมด ลูกส่งสัญญาณมาก็บอกลูกว่าจะไป แต่ก็ช้าไป

พิธีกร : จริงๆมีสัญญาณออกมา แต่เราอาจจะไม่รู้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พ่อน้องจีจี้ : คือได้คุยกับจีจี้ ลูกบอกว่าจะมานครปฐมจะมาเจอเพื่อนสาธิต คำนี้ไม่เคยได้ยินลูกพูดตลอด 2 ปีที่เค้าไม่ได้อยู่ด้วย ก็คิดแล้วว่าลูกคงมีปัญหาอะไร อีกครั้งคือลูกบอกว่าถ้าว่างให้มานอนด้วย แต่ห้องคอนโดมันมีห้องเดียวแล้วก็มีห้องรับแขก มันไม่มีที่นอน ลูกสาวโตแล้ว ในห้องนั้นเคยไปแต่ไม่เคยนอนค้าง

พิธีกร : คุณพ่อได้เข้าไปเห็นหลังจากเกิดเหตุมั้ย
พ่อน้องจีจี้ : หลังเกิดเหตุเค้าชันสูตรศพแล้วจึงได้เข้าไป เค้าก็ห่อศพลูกแล้วเห็นแต่หน้า แต่เห็นวิถีกระสุนแล้ว เสียดายเวลาที่ไปไม่ทัน ถ้าทันเรื่องนี้จะไม่เกิด เราเป็นผู้ชายถ้าเข้าไป น้องผู้ชายก็ต้องคิดว่ามีคนมองอยู่

พิธีกร : สัญญาณความรุนแรงเหล่านี้พ่อแม่ต้องเรียนรู้ยังไงเพื่อจับสัญญาณเหล่านี้ให้ได้
คุณอังคณา : อย่างที่บอกไป คือต้องมีโอกาสในการเจอกันระหว่างเรากับลูก เข้าใจว่าสถานการ์ในภาวะที่อยู่ห่างกัน การใช้ไลน์ไม่สามารถสื่อสารกันได้เพียงพอ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ครอบครัวได้มีโอกาสพบหน้ากัน การเจอกันเพื่อดูอากัปกิริยาเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นที่จะทำให้เห็นร่องรอย บางครั้งเราจะเห็นร่องรอยตามร่างกายของลูก ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่นำไปสู่การพูดคุยบางเรื่องต่อได้ หรือเราอาจพูดคุยในมุมที่ไม่ได้ซักไซ้สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

พิธีกร : ควรไปเจอเพื่อนๆเค้าด้วยมั้ย
คุณอังคณา : เรื่องเพื่อนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะ 60% เวลาเกิดปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้น คนที่ถูกใช้ความรุนแรงจะบอกกับเพื่อน ไม่บอกพ่อแม่ นี่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าเพื่อนของเราถูกใช้ความรุนแรง อย่างกรณีของจีจี้เราประเมินแล้วว่าเพื่อนไม่สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือได้ สิ่งที่เพื่อนทำคือต้องบอกผู้ปกครอง เพราะเพื่อนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และประสบการณ์ของเพื่อนในการแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรงน้อยมาก

พิธีกร : มีประเด็นเป็นแชทที่พ่อของอิคคิวบอกว่าจะฟ้องคนที่เปิดเผยบอกว่าเป็นแชทปลอม ที่เป็นคำสอนของพ่อต่อลูก คุณพ่อรู้สึกยังไงกับการสอนแบบนี้
พ่อน้องจีจี้ : ได้เห็นหน้าคุณพ่อเมื่อวันที่ไปคอนโด คิดว่าท่านไม่น่าจะมีความคิดแบบนี้ จริงๆผมว่าท่านเป็นคนที่ใช้ได้พอสมควร เรื่องนี้มันเกิดขึ้นแล้วก็สูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้โกรธครอบครัวเค้า คิดว่าทุกคนมีเหตุผล ซึ่งคุณพ่อเค้าก็หนักใจ แต่เห็นหน้าแก คิดว่าแกเป็นคนใช้ได้ แต่ด้วยอะไรในคำพูดที่สื่อลงก็ได้ยินเหมือนกัน ก็คิดว่าไม่น่าใช่ความคิดของท่าน

พิธีกร : เรามีลูกสาวจะสื่อสารเรื่องแบบนี้ยังไง
พ่อน้องจีจี้ : จริงๆลูกก็เลี้ยงอยู่ในกรอบทุกคน แต่ครั้งนี้คือลูกส่งสัญญาณมาแล้วแต่ไม่ทัน อีก 3 คน ต้องมาพูดคุย จะต้องคุยกับลูกและแม่เค้า เรื่องนี้เป็นบทเรียน ยังเชื่อเหมือนเดิมว่าถ้าในเจออิคคิวจะไม่เกิดเหตุแบบนี้ ไม่ใช่จะให้เลิกคบ แต่มีเหตุผลที่จะคุยกับเค้า


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง