KEY :
- จากกรณีกระแสข่าวอดีตพระกาโตะและสีกาตอง รวมถึงข่าวฉาวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ในขณะนี้
- พระพยอม กัลยาโณ ให้ความเห็นว่า ควรมีการแก้ไขกฎหมายให้จริงจัง ในการเพิ่มโทษพระสงฆ์ที่กระทำความผิด ให้มีโทษจำคุก มิใช่มีเพียงโทษทางสงฆ์เพียงอย่างเดียว
- ในขณะที่เรื่องเงินบริจาค ก็ควรกำหนดข้อกฎหมายแพ่งฯ ให้รัดกุม เงินที่พระได้รับบริจาคจากญาติโยม ควรเป็นเงินวัด มิใช่เงินส่วนตัว
- ระบุ ศาสนายังคงมีอยู่ และยังจำเป็นในการเป็นที่พึ่งพาจิตใจของประชาชน แม้จะหลายคนบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้เสื่อมศรัทธา
- ฝากถึงสีกาทั้งหลาย ขอให้พระได้สืบทอดพระพุทธศาสนา อย่าเอาไปสืบพันธุ์
…
จากกรณีที่เป็นกระแสข่าวดังจากข่าวอดีตพระกาโตะ มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ สีกาตอง และตามมาด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อวงการสงฆ์ในขณะนี้อย่างมาก
ท่ามกลางกระแสที่เกิดขึ้นอย่างร้อนแรงขณะนี้ที่เกี่ยวข้องกับผ้าเหลือง โดยหากพระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัยขั้นปาราชิก ลาสิกขาแล้วจบ หรือควรได้รับโทษทางอาญาร่วมด้วย ทำให้มีหลายฝ่ายออกมาพูดถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ โดยในรายการ The Day News Update Special ได้เชิญพระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว และผู้เสนอแก้กฎหมาย คุณศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
พระพยอมเห็นควร พระต้องมีโทษทางอาญา
ในปัจจุบันนี้ ความผิดทางวินัยสงฆ์ หรือ “ปาราชิก” เมื่อลาสิกขาออกมาบทลงโทษก็จบเพียงเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น ที่มีติดคุกก็มี มี 2-3 รูปที่ต้องโทษ แต่ที่ไม่ได้รับโทษในเรือนจำ ลอยนวลก็มีเยอะ ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นของอดีตพระกาโตะเอง ในเรื่องการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกา สึกออกมาแล้วไม่ได้มีความผิดอื่นๆ แต่มีประเด็นเรื่องของเงินวัด ที่นำไปให้สีกา ซึ่งตรงนี้ ความผิดสำเร็จแล้ว คุณเอามาคืน เหมือนโจรไปปล้นทรัพย์แล้ว พออยู่ ๆ ไม่อยากติดคุก ก็คืนเงิน แบบนี้กฎหมายจะยอมหรือเปล่า
สำหรับในประเด็นในแง่ของกฏหมายนั้น เมื่อมีผู้ดำเนินการนำเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอาผิดกับพระสงฆ์ที่กระทำผิดวินัยได้นั้น พระพยอม เห็นว่า เมื่อมีเจ้าภาพดำเนินการแล้ว ก็ควรดำเนินการต่อไป ในอดีตเคยมีโทษการเฆี่ยน และถ้าย้อนไปดูสมัยพระเจ้าอโศกฯ มีการฆ่าพระไป 400-500 รูป ที่นอกรีตนอกรอย ไม่ใช่แค่ติดคุก 3 เดือน
ช่วงสมัยของรัชกาลที่ 2 และ 3 ก็มีบทลงโทษสักหน้าว่าเป็น “สมี” แต่ในช่วงระยะ 20-30 ปีมานี้ มีความหย่อนยานมาก ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ พระจริงวิ่งไล่พระปลอม วิ่งไล่กันไม่ทัน แพ้อุตลุดอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงต้องมีอะไรที่จะมาเป็นภูมิคุ้มกันให้ศาสนา เรามีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง คือ ทะนุบำรุงกับปกป้องคุ้มครอง ตอนนี้ไปได้เปราะหนึ่ง คือ ใครจะบวชต้องผ่านตำรวจตรวจประวัติ คุณสมบัติพร้อมหรือไม่ ถ้าตำรวจพบข้อมูลว่า มีประวัติประพฤติไม่ดี อย่างที่วัดอาตมา มีสมัคร 10 ได้บวช 2 สอบไม่ผ่าน 8 เพราะมีความประพฤติไม่ดี ก็ดีที่มีการสกรีนมาขั้นหนึ่ง แต่ในกลุ่มที่หลุดเข้ามาแล้ว บวชแล้วเผลอไผลไปทำไม่ดี ก็ต้องมีการตามไล่บี้อีกขั้นหนึ่ง
ซึ่งที่สำคัญ พระพยอมย้ำว่า จะต้องไม่ให้ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้เหมือนไฟไหม้ฟางที่ไหม้หมดแล้วก็จบไป แต่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจริงจัง โดยแนะนำว่า อาจจะเอาแบบเดียวกับที่ทางประเทศลาว ที่มีโทษจำคุก 3-6 เดือน ซึ่งผู้ทำผิด ก็จะได้เข็ดหลาบ
“กรณีอาบัติที่ล่วงเกินสีกา 1 เรื่อง อีกเรื่อง คือ ยักยอกเงินวัด เงินศาสนา เงินทอน โดนกันไป อาตมาว่าโทษยังน้อยไป เอาคืนมาได้ไหม ยึดทรัพย์มาให้ได้ ไม่ได้ก็ต้องทำใช้คืน ไม่ใช่เอาเงินศาสนาไปปู้ยี่ปู้ยำ อย่างกรณีที่มีการนำเงินของสมเด็จพระวันรัตไปเกือบ 100 ล้าน คนที่จัดการเงินวัด หรือ แม้แต่กรรมการวัด ก็น่าจะมีส่วนโดน เรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านๆมา ก็คิดว่าทำไมไม่มีเจ้าภาพจัดการเสียที”
ที่ผ่านมา พระมักนำเงินไปใช้ผิดประเภท
สำหรับในประเด็นเรื่องเงินทำบุญ ให้กับพระสงฆ์ที่ผ่านมานั้น เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมาโดยตลอด โดยเฉพาะกรณีที่มีพระชื่อดังลาสิกขา รวมถึงในประเด็นของอดีตพระกาโตะด้วยเช่นกัน พระพยอมได้ให้ความเป็นในประเด็นนี้ว่า ก็ควรแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องของทรัพย์สินของพระ ที่ปัจจุบันระบุไว้เพียงว่า ทรัพย์สินของพระ เมื่อมรณภาพไปแล้วและไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ให้ทรัพย์สินนั้นตกแก่วัด แต่ไม่ได้ระบุถึงขณะที่ถือเพศบรรพชิต
พระสงฆ์ได้รับเงินมา ไม่ว่าจะกิจนิมนต์ หรือ วิธีการใดก็แล้วแต่ ไม่ได้ระบุว่าเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง แม้ว่าจะมีการถวายมาเพื่อให้ไปทะนุบำรุงศาสนา แต่ส่วนใหญ่พระจะมีการนำเอาไปใช้ผิดประเภท เอาไปให้ญาติโยม พี่น้องซื้อที่ดินในป่าสงวนแห่งชาติ หรือ เอาไปให้สีกา
ความจริงควรมีการระบุว่า พระเมื่อได้เงินทองหรือทรัพย์สิน ซึ่งจริง ๆ พระไม่ควรมีบัญชีด้วยซ้ำ ถ้าจะมีการฝากเงินควรไปฝากในนามวัด เพราะวัดเป็นนิติบุคคล เป็นต้น ไม่ควรมีบัญชีส่วนตัวของพระ แล้วถ้าพระนำเงินไปใช้ผิดประเภท ก็น่าจะมีความผิดในทางอาญาด้วย ซึ่งการนำเสนอไปยัง กมธ. ก็มีการเสนอไปด้วยทั้งทางประมวลกฎหมายอาญา และทางแพ่ง แต่เกรงว่า ทาง กมธ.จะรับลูกหรือไม่อย่างไร ก็มีไม้สองอยู่ ไม้สองอาจจะใช้วิธีการล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อ ทั่วประเทศ ในการที่ผลักดันกฎหมายนี้ ก็ต้องขอความร่วมมือกับพระพยอมในการที่จะช่วยบอกสาธุชนในการช่วยล่ารายชื่อ หากทาง กมธ.ไม่รับเรื่อง ให้หลวงพ่อช่วยผลักดันให้เกิดเป็นกฎหมายเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
ซึ่งหากดำเนินการจริงจัง สามารถกระทำได้ ซึ่งที่ผ่านมาวัดสวนแก้วทำแล้ว พระทุกรูปที่อยู่ในวัดสวนแก้ว ถ้าบิณฑบาตรได้ หรือ กิจนิมนต์มาได้ ต้องเข้ากองกลางหมด หากท่านจะไปไหน มีค่ารถ หรือเจ็บป่วย ทางวัดจะดำเนินการให้ แต่จะเอาไปใส่ย่ามไว้ในกุฎิไม่ได้ ซึ่งการจับเงินมี อยู่ 4 จับ 1.จับคืน มีคนทำเงินตกไว้ที่วัดแล้วจับคืนให้เขาไป 2.จับจ่ายค่าน้ำค่าไฟ 3 .จับแจกให้เด็ก ทุนการศึกษาคนยากจน และ 4. จับหมัก คือ หมักไว้ในบัญชีตัวเอง ปัญหาอยู่ตรงนี้
ไวรัส ก็ต้องมีวัคซีน ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีธรรมะ
ขอให้พระทุกรูป น้อง ๆ ที่บวชทีหลัง ถ้าท่านเทศน์เป็น ท่านต้องรักษาพรหมจรรย์เป็น ท่านต้องรักษาศาสนาเป็น ถ้ารักษาศาสนาไม่เป็นท่านต้องอยู่ลำเค็ญแน่
ส่วนสีกาที่เป็นฝ่ายอุปถัมภ์พระพระพุทธศาสนา ขอให้อุปถัมภ์ให้พระได้เป็นพระ อย่าเอาพระไปเป็นผัวให้พระได้สืบทอดพระพุทธศาสนา อย่าเอาไปสืบพันธุ์ ถ้าสืบพันธุ์ไปหาเอาข้างนอก มีเยอะแยะ ทำไมไม่ไปเลือก อย่างกรณีใบตองทำไมต้องเลือกกาโตะด้วย ทำไมไม่เลือกที่อื่น
และสุดท้ายนี้ อย่าห่วงว่าศาสนาจะสูญพันธุ์จากประเทศไทย เพราะมีคนถามบ่อย เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ว่าศาสนาน่าจะเสื่อม น่าจะหมดแล้ว ถ้ามีไวรัส ก็ต้องมีวัคซีน ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีธรรมะ ถ้าคนไทยหมดทุกข์นั่นแหละ ศาสนาถึงจะหมดยุค หมดสมัย หมดความต้องการ เพราะฉะนั้น ยังไงเสียยังมีคนดีๆ คนที่คิดปกป้อง คุ้มครอง คนที่คิดทะนุบำรุง สายบุญยังมี ส่วนสายบาปก็ว่ากันไป
ขอให้บ้านเมืองนี้ ช่วยกันกำราบปราบ และขออนุโมทนากับคุณศรีสุวรรณและหมอปลา แต่ขออภัยหมอปลานิดหนึ่ง ถ้าหมอปลาผิดพลาดไปตอนที่บุกเข้าไปในวัด ขอให้หมอปลา ไปขอโทษเจ้าอาวาสวัดนั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อคูณ หมอปลาจะได้ทำงานต่อได้ราบรื่น เพราะการบุกไปแบบนั้น ไม่ขออนุญาตเจ้าอาวาส มันก็เสียธรรมเนียมไป อย่างไรก็ขอให้หมอปลาทำงานดี ทำงานก้าวหน้า และทำงานปลอดภัย อย่าได้มีศัตรูในงานเลย เจริญพร