คุณโบ-พัทธมน เมฆะวรากุล ผู้บริหารเจ้าของโรงแรม เคป ดารา รีสอร์ท พัทยา ผู้บริหารมากความสามารถ คลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจโรงแรมตั้งแต่จำความได้ กับมุมมองแนวคิดที่แตกต่างบวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจ จนสามารถปิดหนี้พันล้านได้ใน 6 ปี พูดถึงความสำเร็จและความสุขที่แท้จริงของเธอคนนี้ ที่เธอบอกว่า มันคือความธรรมดาและธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต
เริ่มแรกยากและเหนื่อยมาก
ประมาณ 10 ปีที่แล้วหลังจากเรียนจบก็ไปทำงานเปิดโรงแรมอื่นก่อน หาประสบการณ์ฝึกงานก่อน จากนั้นก็ได้มาเริ่มหน้าที่ที่นี่ (เคป ดารา รีสอร์ท พัทยา) ด้วยตำแหน่งผู้ช่วย GM หรือผู้ช่วยบริหารสูงสุดของโรงแรม ซึ่งคุณพ่อมองว่าตอนนั้นเรายังเด็กและเป็นลูกเจ้าของให้ไปเรียนรู้งานจาก GM ก่อน คนสอนเขาจะได้ไม่เกร็ง
ด้วยความที่เรายังเด็ก และคิดว่าคนไทยอาจจะดูละครเยอะ และก็คิดว่าลูกเจ้าสัวอยู่ในละคร กรี๊ดไม่พอใจเอาแต่ใจตัวเองอะไรแบบนี้ เค้าก็จะมีความเหมือนระวังเราเยอะมาก มีเหตุการณ์นึงพนักงาน รปภ ก็เรียกเราว่าคุณหนู เราแบบเดี๋ยวพี่น่าจะดูละครเยอะไปมั้ยคะ คือแค่เรียกชื่อเราว่า โบว์ เฉยๆ ก็ได้ เวลาทำงานด้วยความที่เราจ้างเค้ามาแล้ว แล้วแต่ละคนคือตัวท้อปของทุกที่เพราะเราต้องการวางรากฐานให้ดีที่สุด เค้าก็อาจจะมาด้วยไอเดียและก็มีอีโก้ด้วย เราต้องพยายามดาวน์และเรียบให้มากที่สุด เพื่อที่ให้เขาเอาไอเดียออกมาให้หมด และลองหากถ้าไม่เวิร์คเราก็จะบอกว่า งั้นพี่เดี๋ยวขอลองวิธีโบว์หน่อยได้ไหม
จำได้ว่าเหนื่อยมาก ปีแรกๆ ที่เปิดโรงแรม กลับเข้าบ้านแล้วปิดประตูห้องนอนลงไปที่พื้นเลย เกือบทุกวัน คือมันเหนื่อยเหมือนไม่อยากจะเอื้อนเอ่ยทำอะไรอีกแล้ว เข้าโรงพยาบาลปีนึง 6-8 รอบ เป็นหลายปีติดกัน อาการคือ ไม่กินข้าว ทำแต่งาน รู้สึกการกินข้าวเป็นเรื่องเสียเวลา
ดีเทลงานผู้บริหารอย่างแรกต้องควบคุมตัวเองให้ได้
อย่างแรกเลยคือ ควบคุมตัวเองให้ได้ เพราะเราจะเห็นทุกปัญหา ทุกอย่าง ในทุกที่ เช่น พนักงานเดินมาเสิร์ฟน้ำข้อศอกเค้าอยู่ในระดับสายตาเราและเราเห็นด้ายห้อยนิดนึงเราก็จะบอกทำไมไม่ตัดด้ายอะไรแบบนั้น (หัวเราะ) และเราเป็นคนที่พูดแบบนิ่ง คนก็จะรู้สึกว่าน่ากลัวจัง คือเรารู้สึกว่าเราพูดทุกอย่างที่จริงๆ เราไม่ต้องพูดก็ได้ เราสามารถไปบอกหัวหน้าเค้าแล้วค่อยพูดก็ได้ คือเราอายุ 20 แต่ต้องทำงานที่วุฒิภาวะแบบท้อปเลย
สองคือคนเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง เราอาจจะเก่งแค่อย่างเดียว แต่เราจะทำยังไงให้บริการองค์กรนี้ หนูเริ่มต้นด้วยการเอาตัวเองไปฝังอยู่ในแผนก communication marketing แต่สิ่งสำคัญที่มองเลยคือ เราทำได้แค่อย่างเดียวที่ดีที่สุดและก็ทำแผนกนั้นให้ดีที่สุด มันเป็นความแตกต่างระหว่างเจน พ่อแม่เราจะแบบทำทุกอย่างไม่ต้องทำให้ดีที่สุดก็ได้แต่ต้องทำทุกอย่าง แต่เจนเราเราคิดว่าเราทำดีที่สุดในสิ่งที่เราถนัดที่สุด แล้วอย่างอื่นถ้าเราไม่ถนัดก็จ้างผู้บริหารที่เป็น expert ด้านนั้น ไม่ต้องทู่ซี่ทำไปและมันก็อาจจะไม่ได้ดี
ถนัดสุดด้านการตลาด เซลล์ พีอาร์
พอเปิดโรงแรมไปได้ 4 ปี ก็เปิดเอเจนซี่เป็นของตัวเอง ด้วยประสบการณ์ที่ทำโน่นนี่นั่น และก็เทิร์นเครป ดารา มาเป็นลูกค้าหนู ก็คือรับเงินจากบริษัทครอบครัวของตัวเองอีกทีนึง ป๋าบอกว่าเลี้ยงลูกจะให้เงินเท่านี้ตลอดไป ป๋าจะไม่ขึ้นเงินเดือน ถ้าลูกอยากมีเงินมากกว่านี้ลูกต้องทำธุรกิจของตัวเอง หนูจึงเปิดเอเจนซี่ของตัวเองขึ้นมา นอกจากทำให้เครปดาราแล้ว หนูก็ยังรับลูกค้าข้างนอกให้บริษัทตัวเองได้ด้วย
คอนเซปท์โรงแรมเครปดารา ดินแดนที่กาลครั้งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วอีกครั้ง ไม่ใช้หลักการ ลูกค้าคือพระเจ้า
คุณพ่อเป็นนักธุรกิจที่มองการณ์ไกลมาก คือเครปดาราทำห้างสรรพสินค้าที่ชื่อไมค์ ช็อปปิ้งมอลล์ ห้างเก่าแก่ตั้งเด็กๆ หลังจากนั้นป๋าก็อยู่พัทยามาตลอดและได้มาเจอพื้นที่บ้านพักตากอากาศของตระกูลเก่าแก่ และป๋านึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ ที่มาพัทยาแล้วได้มีช่วงเวลาเล่นทราย ช่วงเวลาครอบครัว เค้าเลยรู้สึกว่าอยากให้คนที่มาพัทยาได้มีประสบการณ์อะไรแบบนี้กัน เลยอยากสร้างโรงแรมนี้ขึ้นมาเพื่อให้ช่วงเวลาครอบครัวกลับมาอีกครั้ง หนูเลยตั้งคอนเซปท์ว่า ดินแดนที่กาลครั้งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วอีกครั้ง เป็นคำที่เหมือนแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง
และก็มีตอนไปดูไซส์งานกลางคืนกันได้เห็นดาว ซึ่งพัทยามันสว่างมาก จนเราไม่เห็นดาว สถาปนิกเลยบอกว่า งั้นผมขอเสนอชื่อ เครปดารา ป๋ษได้จัดกรอบวิสัยทัศน์ว่า เป็นโรงแรม 5 ดาว โดยคนที่ไทยที่เหนือกว่าโรงแรมใดในโลก ครั้งแรกที่อ่านก็รู้สึกว่า โหหหห เหนือกว่าโรงใดในโลกเลยเหรอ แรงขนาดนั้น ป๋าบอกว่า… เหนือกว่าด้วยการบริการและจิตใจที่สูงกว่าด้วยการไม่ judge ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถูกเวลคัมที่นี่
เพราะว่าเราไม่รู้จักพระเจ้า หนูไม่ได้ offense ศาสนาใดเลย แต่ว่าในชีวิตจริงเราไม่เคยเจอพระเจ้า สิ่งที่เราเจอคือครอบครัว คือญาติ ดังนั้นที่เครปดารา ลูกค้าคือญาติผู้ใหญ่ เราจะมีความรู้สึกแบบเป็นห่วงเป็นใยเค้า
จุดที่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จจ่ายหนี้ธนาคารหมดภายใน 6 ปี
ตอนแรกเริ่มจากเป็นนักศึกษา แล้วเรารู้ว่ากู้ธนาคารมูลค่าเท่าไร โปรเจคก์นี้เป็นพันล้าน เด็กอายุ 20 กว่ามีพันล้านอยู่บนบ่า คือมันหนักมากนะ และเราคิดว่าจะำยังไงดี จะล้มละลายไหมก็คือกลัวว่าแบบจะไม่มีเงินจ่ายธนาคาร เพราะเดือนแรกๆ ที่เปิดมันเงียบกริบ หนูจัดบุฟเฟ่ต์อย่างดี มีลูกค้า 3 โต๊ะ คือนอยดฺ์มาด ก็คิดว่าทำไงดี ทำยังไงก็ได้ให้มีเงินจ่ายธนาคารทุกเดือนตามเป้าที่ต้องจ่าย
เราก็หาทุกทางที่จะทำให้โรงแรมนี้มีลูกค้า ก็คิดว่ามีลูกค้าก็ต้องมีคน เค้ามีงานอะไรกัน อ๋อมีงานไทยเที่ยวไทย เราเลยไปออกงาน รูปอะไรไม่มีก็ไม่เป็นไร เลยใช้รูปมือถือเนี่ย ถ่ายวิวเอาให้ลูกค้าดูปูลมอะไรอย่างนี้ ก็คือไปขายเองทุกงาน ไปโรดโชว์ต่างประเทศอะไรคือไปเองหมด และก่อนที่จะมีลูกค้าเข้ามาเนี่ยไปหากองถ่ายละคร แทบทุกกองถ่ายขอให้มาตอนแรกๆ ไม่ได้คิดค่าเช่าด้วยนะ คือขอให้ทุกคนได้ยินชื่อโรงแรมเรา จนประมาณเข้าปีที่สองได้ ละครเข้าเยอะมาก ราคาเรทห้องจากเริ่มเปิดก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ยอดเข้าพักเต็มทุกวีคเอ็น เริ่มได้ตลาดต่างชาติเข้ามา เริ่มออกดอกออกผล
หนูมองว่าวันนี้เราประสบความสำเร็จมากแล้ว ปกติโรงแรมแนวนี้เราจะจ่ายหนี้ธนาคารหมดภายใน 10 ปี อย่างเร็วอะ 7 ปี แต่หนูจ่ายหมดก่อนหน้านั้นประมาณ 5-6 ปี และก็รู้สึกแบบสบายใจละ นั่นแหละที่รู้สึกว่าคือจุดที่ประสบความสำเร็จ
วิธีรักษามาตราฐานให้คู่แข่งสู้ไมได้
จุดแรกเลยคือ โลเคชั่น เรื่องวิวเป็นเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สองคือ เราต้องคอยดูแลอยู่เสมอ เช่น ห้องพักเรารีโนเวทถี่มาก เพราะเราขายดีมาก เรารีโนเวทไม่หยุดจุดไหนโทรมเรารีโนเวท อยากให้ลูกค้ามาแล้วทุกอย่างในห้องสัมผัสเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ และชาเลนจ์ที่เราคิดจากนี้เป็นต้นไปก็ก่อนหน้านี้ด้วยคือการคิดกลยุทธิ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้เราอยู่ในกระแสอยู่เสมอ คือไม่ใช่โรงแรมที่ต้องไปสักครั้งแต่เป็นโรงแรมที่ต้องไปหลายๆ ครั้ง
โปรเจคก์ต่อไปโรงเรียนที่ทำให้เด็กๆ รู้สึกรักตัวเอง
เพราะมีลูกและต้องหาโรงเรียนให้ลูก เรารู้สึกว่าแม่ๆ ทุกคนน่าจะเข้าใจว่า นี่คือของขวัญล้ำค่าที่สุดของเรา เราอยากให้เค้าไปโรงเรียนที่ทำให้เขามีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดได้ เราอยากได้โรงเรียนอนุบาลอินเตอร์แบบดีเลิศ ซึ่งในพื้นที่นี้ไม่มีตัวเลือก เจอโรงเรียนที่ดีนะแต่เป็นโรงเรียนใหญ่ คำว่าดีเลิศมันคือมาตราฐานของแม่เองเพราะว่าแม่ทำโรงแรม มาตราฐานแม่สูงมากเลยไม่อยากไปกดดันโรงเรียนไหน เลยสร้างเองเลยแล้วกัน เพราะอยากให้ลูกและเด็กเล็กเป็นหัวใจของโรงเรียน ไม่ได้มีความรู้เรื่องการสร้างโรงเรียนอะไร แต่มันเป็นการตกผลึกว่ามนุษย์มีอินพุชยังไง มีความรักยังไงแล้วถึงจะรักผู้อื่นได้ 1.หนูตั้งเป้าก่อนเลยว่า อยากให้เด็กรู้สึกรักตัวเองมากพอจนล้นออกมารักผู้อื่นได้ 2.เด็กมีศักยภาพอะไรเป็นขีดจำกัด และ 3.เรื่องของสิ่งแวดล้อม
คอนเซปท์โรงเรียนเป็นบ้านต้นไม้ เป็นที่ๆ น่ารัก อบอุ่น ใกล้ชิดธรรมชาติ คิดว่าอยากให้อะไรลูกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่กำลังหนูจะทำได้ แล้วพ่อแม่คนอื่นก็อาจจะอยากได้แบบเดียวกันเหมือนกันมั้ง ก็คิดแค่นี้
work life balance ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่จัดการชีวิตได้
หนูเชื่อว่า work life balance ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่บ้าน ที่ทำงาน และโรงเรียนของลูกโบว์ อยู่ที่โรงแรม ดังนั้นมันไม่มี work life balance มันกลืนกันไปหมด เวลามันแยกไม่ออกจนต้องนั่งทำตารางเวลาว่า เราจะทำงานกี่โมงถึงกี่โมง และแมทช์กับเวลาเพลย์ไทม์ของลูกตอนไหนยังไง ทำตารางลูกกับแม่เพื่อหา Quality Time ด้วยกัน อย่างน้อยสักสองช่วงต่อวัน ก็คือช่วงก่อนนอนเล่านิทานก่อนนอน กับอีกช่วงก็หลังเขาเลิกเรียนทำกิจกรรมอะไรด้วยกันนิดนึง นอกนั้นก็ให้งานเพราะหนูเป็นคนที่ถ้างานไม่ดีเราก็ไม่แฮปปี้ จะรู้สึกว่าฟังก์ชั่นชีวิตด้านอื่นๆ ก็ไม่สบายใจไปหมด จึงต้องจัดการเวลาให้ได้