การเดินทางข้ามเวลาในหนังไตรภาคฝีมือการเขียนบทและกำกับของ โรเบิร์ต เซเม็กคิส อย่าง Back to the Future แม้จะเป็นเพียงแค่เรื่องแต่ง แต่หลายอย่างที่ปรากฏในภาค 2 ซึ่งเป็นปี 1989 กลับเป็นการทำนายอนาคตได้อย่างชะงัด เพราะตัวละครเอกของเรื่อง ต้องเดินทางข้ามเวลาดังกล่าว มายังโลกอนาคตในวันที่ 21 ตุลาคม ปี 2015 อันเป็นวันที่แฟนคลับของหนังเรื่องนี้ทั่วโลกต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อมาแล้ว วันนี้โมโน 29 จึงขอพาทึกท่านไปสำรวจกันว่ามีอะไรที่หนังทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำบ้าง
ความคลั่งไคล้ในหนังภาคต่อ
อาจจะไม่ใช่เทรนด์ใหม่ตั้งแต่ยุคที่มีหนังอย่างเช่น Star Wars เกิดขึ้นแล้ว แต่การล้อเลียนหนังเรื่อง Jaws ของผู้อำนวยการสร้าง Back to the Future สตีเฟน สปีลเบิร์ก ว่ามีมาถึง 19 ภาคนี่สิ แม้จะไม่เป้นจริง แต่ปัจจุบันเรามีแฟนเเดนตายของหนังภาคต่อที่เกินกว่าไตรภาคอยู่มากมาย อาทิ Transformers หรือ The Fast and the Furious
การกลับมาของยุค 80
หรือแท้จริงแล้วคนเราจะโหยหาอดีต 20 – 30 ปีก่อนอยู่เสมอ สังเกตจากการกลับมาของภาคต่อของ Indiana Jones และการดัดแปลง Ghostbusters
มีทีวีให้ดูมากมายกว่าร้อยช่อง
จะสังเกตว่าในหนังเลขช่องมีถึงหลักร้อย ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่เดี๋ยวนี้ที่เป็นยุคเคเบิ้ลทีวีดิจิตอล แน่นอนว่าการมาของทีวีออนดีมานด์ และการดูย้อนหลังก็เป็นการตอบโจทย์หนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังทำนายได้ใกล้ความจริงเหมือนกัน
เครื่องสแกนลายนิ้วมือ
เครื่องสแกนลายนิ้วมือสำหรับจ่ายค่าแท็กซี่ในเรื่อง ปัจจุบันเราสามารถจ่ายเงินผ่านการสแกนนิ้วไอโฟนได้อีกด้วย
ความก้าวหน้าทางสิ่งประดิษฐ์
ในหนังเราจะเห็นอุปกรณ์มากมาย อาทิ โดรน โฮโลแกรม ทีวีไวด์สกรีน วิดีโอคอล แว่นตาอัจฉริยะ รถบินได้ และโฮเวอร์บอร์ด ซึ่งเป็นสเก็ตบอร์ดแบบไม่มีล้อ เพราะใช้ความดันอากาศทำให้ลอยเหนือพื้นได้นิดหน่อย ปัจจุบันมีหลายบริษัทค้นคว้าวิจัยและพัฒนาความเป็นไปได้ออกมาได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ทั้งหมดที่กล่าวมานั่นแหละ แม้แต่เทคโนโลยีจากขยะก็ตาม ถึงเราจะไม่สามารถหยิบขยะมาใส่แทนเชื้อเพลงแบบในหนังได้โดยตรง แต่ปัจจุบัน เราสามารถแปลงขยะให้กลายเป็นแก๊สชีวภาพเพื่อเป็นเชื้อเพลงแก่รถได้ อาทิ Bio-Bus ที่สามารถวิ่งได้ด้วยพลังงานของเสียจากมนุษย์อย่างปัสสาวะและอุจจาระได้โดยตรง
เล่นเกมโดยไม่ต้องใช้มือ
คุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างหรือเปล่ากับเจ้าหนูเสื้อส้มในฉากนั้น ก็ เอไลจาห์ วูด ยังไงล่ะ นี่หนังเรื่องแรกของเขาเชียวนะ กับบทเด็กน้อยที่ดูถูกพระเอกของเรา เพราะใช้มือเล่นเกมอย่างกับเด็กน้อย ในเมื่อปัจจุบัน เราแทบไม่ต้องแตะสัมผัสเกมเวลาเล่นด้วยซ้ำ