“MONO” เดินเกมรุกธุรกิจ
ตั้งเป้ารายได้ปี 2016 : 3,000 ล้านบาท
ดันธุรกิจภาพยนตร์ จัดตั้ง “ที โมเม้นต์” โกยรายได้
บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ “MONO” เตรียมแผนเดินเกมรุกธุรกิจปี 2559 ในการเป็น 1 ในผู้นำธุรกิจมีเดีย-เอนเตอร์เทนเม้นต์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย สร้างความแข็งแกร่งให้กับช่อง MONO29 พร้อมเสริมไลน์ธุรกิจภาพยนตร์ หลังคว้ามือเก๋า “คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์” ผู้คร่ำหวอดแห่งวงการภาพยนตร์ไทยมาร่วมงานในชื่อ “T MOMENT” (ที โมเม้นต์) เพื่อเพิ่มเป้ารายได้จากเดิมให้โตขึ้น 50 % ในปีนี้ คาดรายได้ปีนี้ทั้งกรุ๊ปอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
คุณนวมินทร์ ประสพเนตร ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO เปิดเผยว่า “ปีนี้คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ปีนี้ธุรกิจหลักของโมโนยังคงอยู่ในกลุ่มธุรกิจออนไลน์และโมบาย ในการให้บริการเสริมผ่านโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ล่าสุดเรามีการปรับรูปแบบการให้บริการจากเดิมเพื่อรองรับการให้บริการผ่านสมาร์ทดีไวซ์ให้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แต่ขณะเดียวกันในปีนี้คาดว่าธุรกิจทีวีดิจิตอลก็จะโตแซงหน้าธุรกิจโมบายและออนไลน์อย่างแน่นอน
โดยช่อง MONO29 จะเป็นฟันเฟื่องสำคัญที่จะพาเราไปสู่เป้าหมาย จากปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นการเจริญเติบโตของยอดโฆษณาอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้คาดว่ายอดโฆษณาจะโตขึ้นถึง 100-200% โดยล่าสุดมีการปรับผังเสริมคอนเทนต์ภาพยนตร์จากค่ายหนังยักษ์ใหญ่ในลักษณะ Exclusive Partner อาทิ Warner, NBC UNIVERSAL, PARAMOUNT และ สหมงคลฟิล์ม โดยค่ายต่างๆ เหล่านี้จะส่งตรงภาพยนตร์ที่มีความสดใหม่ไม่เคยผ่านการฉายในฟรีทีวีช่องใดมาก่อน ซึ่งจะทำให้ผังรายการเราแน่นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงไพร์มไทม์ มีการเสริมเส้นช่วงเวลาหกโมงเย็นถึงสองทุ่มให้แข็งแกร่งขึ้น และเพิ่มช่วงละครหลังข่าวในวันจันทร์และวันอังคาร จากที่มีการปรับผัง ทำให้เรตติ้งโดยรวมของช่องขยับดีขึ้น และภายในปีนี้ตั้งเป้าให้เรตติ้งโตขึ้นอีก 100% ที่ผ่านมาได้กระแสตอบรับที่ดีจากเอเจนซี่และเจ้าของสินค้า ที่ได้ไว้วางใจให้ช่อง MONO29 เป็นหนึ่งในสื่อหลักในการโปรโมทและประชาสัมพันธ์สินค้า เนื่องจากมั่นใจในคุณภาพคอนเทนต์ช่อง โดยมีตัวเรตติ้งเป็นตัวรับประกันความสำเร็จของช่อง ในปีนี้ธุรกิจทีวีวางเป้าไว้ถึงจุดคุ้มทุนอย่างแน่นอน และมั่นใจว่าสามารถทำรายได้อย่างต่ำ 1,500 ล้านบาท
ในส่วนธุรกิจภาพยนตร์ เรายังคงรุกเดินหน้าต่อ เนื่องจากเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์หลักที่จะมาเสริมภาพรวมของโมโนกรุ๊ปให้สมกับเป็นผู้นำทางด้านมีเดีย-เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ โดยยังคงเดินหน้าเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งวางแผนจะมีภาพยนตร์ออกฉายในปีนี้ประมาณ 24 เรื่อง โดยล่าสุดได้ประเดิมด้วยภาพยนตร์เรื่อง ยิปมัน 3 ซึ่งสามารถทำรายได้ไปแล้วกว่า 20 ล้านบาท ทั้งนี้ภาพยนตร์ที่เรานำเข้าทั้งหมดจะถูกนำมาให้บริการผ่าน MONOMAXXX (โมโนแม็กซ์) ที่พึ่งได้รับการรีแบรนด์มาจากดูหนังดอทคอม ในการให้บริการดูภาพยนตร์และซีรีส์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในราคาเหมาจ่าย 129บาท/เดือน โดยตั้งเป้าสมาชิกเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านราย เป็น 2 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้
ส่วนด้านการผลิตภาพยนตร์ไทย เราได้เสริมทัพกับ บริษัท ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ของ คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ ผู้คร่ำหวอดแห่งวงการภาพยนตร์ไทยมาร่วมสร้างสรรค์ภาพยนตร์ไทยในนาม “T MOMENT” (ที โมเม้นต์) ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ในไตรมาส 3 น่าจะเห็นภาพยนตร์ของเราออกฉายสู่สายตาประชาชนทั่วไปได้ ซึ่งเรามองว่าธุรกิจนี้ยังสามารถโตได้อย่างต่อเนื่อง เราเชื่อในฝีมือของคุณวิสูตรในการผลิตหนังไทยให้มีคุณภาพ โดยตั้งเป้าจะผลิตภาพยนตร์ไทย 3-5 เรื่องต่อปี
ในส่วนธุรกิจเพลงเราได้เสริมการเป็นโซเชียลเรดิโอให้กับคลื่น MONO Fresh 91.5 (โมโนเฟรช 91.5) ซึ่งจะเป็นคลื่นที่เปิดเพลงฮิตในโลกโซลเชียล พร้อมทั้งนำเสนอเนื้อหาสาระบนโลกโซเชียลผ่านคลื่นนี้ด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันค่ายเพลงโมโนมิวสิคก็ยังคงดำเนินการต่อ แต่จะปรับรูปแบบการให้บริการ โดยเปิดโอกาสให้กับผู้ที่อยากเป็นศิลปินหรือบุคคลที่มีแฟนคลับในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเน็ตไอดอล ศิลปินรุ่นเก๋า มาร่วมทำงานเพลงกับเรา โดยโมโนจะเป็นตัวกลางเชื่อมในการโปรโมทศิลปินในรูปแบบมัลติแชนแนลเน็ตเวิร์ค (MCN)
สำหรับธุรกิจต่างประเทศ เราสามารถถึงจุดคุ้มทุนแล้วในประเทศพม่าและเวียดนาม และยังคงมุ่งเน้นขยายธุรกิจในประเทศจีนโดยเพิ่งได้เริ่มธุรกิจอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่เราเป็นผู้ร่วมผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนสถานีโทรทัศน์ของ กสทช. ในมณฑลยูนนานประเทศจีน และได้เปิดช่องบนเว็บ Youku ในการให้บริการคอนเทนต์ออนไลน์ โดยใช้คอนเทนต์ที่เรามีอยู่ไปเปิดตลาดสู่ประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม แนวทางการดำเนินธุรกิจของเราในปีนี้ ยังมุ่งมั่นตอบโจทย์การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมมีเดีย-เอ็นเตอร์เทนเมนท์เช่นเดิม ซึ่งจะทำให้เป้าสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 3,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน และแบ่งสัดส่วนรายได้จากธุรกิจต่างๆ เป็น ธุรกิจทีวี 50% ธุรกิจอินเตอร์เน็ต-โมบาย 40% ธุรกิจฟิล์ม 3% ธุรกิจเรดิโอ-เพลง-พับลิชชิ่ง 2% ตามลำดับ สำหรับงบลงทุนด้านคอนเทนต์ในปีนี้ เราเตรียมไว้ 800 ล้านบาท โดยกระจายการใช้จ่ายตามความเหมาะสมในแต่ละธุรกิจต่อไป” คุณนวมินทร์ กล่าวทิ้งท้าย