คัดลอก URL แล้ว
“โตโน่ ภาคิน” รับเคยถูกทาบเป็นบอส ลั่นไม่อยากซ้ำเติมใครให้กฎหมายจัดการ

“โตโน่ ภาคิน” รับเคยถูกทาบเป็นบอส ลั่นไม่อยากซ้ำเติมใครให้กฎหมายจัดการ

จากกระแสข่าวธุรกิจดัง ดิไอคอนกรุ๊ป ที่ทำให้ 3 บอสดารา “กันต์ กันตถาวร, แซม ยุรนันท์” และ “มิน พีชญา” คอตกเดินเข้าเรือนจำ ทำเอาสะเทือนวงการบันเทิงไม่น้อย ทำให้ตอนนี้เหล่า ดารา-ศิลปิน เพิ่มมาตรการในการรับงานมากขึ้น ล่าสุดพระเอกหนุ่มใจหล่อ “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ไปร่วมงานเปิดตัวแบรนด์ VEXXO SMART LIFE ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ เผยว่าตนเคยถูกทาบไปให้เป็นบอส แต่ต้องปฏิเสธเพราะไม่ได้ใช้และไม่ต้องการโกหก เพราะเชื่อในจริงใจ-ซื่อสัตย์ ลั่นไม่อยากซ้ำเติมใคร ให้กฎหมายจัดการดีกว่า

การเลือกรับงาน?

“ก็อะไรที่ไม่ได้ใช้จริง เราก็ไม่รับ อย่างเช่นเวลาที่เราจะทำอะไรแต่ละอย่าง เราก็นึกง่าย ๆ ครับ ถ้าอย่างเป็นของคนกินเราทำให้แม่เรากินให้พ่อเรากินของใช้เราทำให้พ่อให้แม่เราใช้ แล้วผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเงินหรอกครับ ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ พี่ ๆ เห็นผมอยู่ตลอด เราทำในสิ่งที่เราเชื่อ เราเชื่อในเรื่องความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความอดทน ความมุ่งมั่น เราโตมาแบบนั้น เราถูกปลูกฝังมาแบบนั้น”

เคยโดนชักชวนบ้างไหม

“ผมว่าโดนกันหมดที่ติดต่อมา โดนติดต่อมาอยู่แล้วครับ ถ้าผมไม่ได้รู้จริง ผมไม่ได้ใช้ ผมจะไปโกหกได้ยังไง คือเราดูคุณภาพของสินค้าก่อนอย่างที่ผมบอกไปเรามาได้เพราะประชาชน อย่างผมไม่ได้มาเพราะแมวมองนะ ผมมาเพราะเงินโหวตเขาคนละ 5 บาท 10 บาท ถ้าผมไม่ได้ใช้แล้วต้องโกหกผมทำไม่ลง”

สินค้าแบบไหนที่จะไม่รับเลย

“อย่างพวกกินแล้วขาว อาหารเสริมจริง ๆ แล้วผมจะทำเอามาช่วยแบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่ายที่เวลาผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ผมกำลังจะทำ ตัวผมเองผมเห็นแล้วว่านอกจากช่วยเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ แต่ว่าพ่อแม่ของเราไม่สบาย เวลาเขาป่วยหรือว่าเวลาเขาเริ่มมีอายุ แล้วเขาเริ่มย่อยโปรตีนได้ยาก ผมเห็นแล้วว่าราคามันสูง ผมเห็นแล้วว่าเราทำในสิ่งที่มันดี ช่วยลดค่าใช้จ่ายของเขาได้ แต่ต้องดีจริง ๆ ผมคิดว่า อันนี้ก็จะช่วยเขาได้อีกเรื่องของเครื่องมือแพทย์”

รายละเอียดการรับงาน เรื่องสัญญา ดูขนาดไหน

“ก็จะมีทีมงานช่วยดูด้วย เพราะตัวผมเองไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ได้รู้ลึกไม่ได้รู้ทั้งหมดแต่ว่าทุก ๆ อย่างมันต้องผ่านสังกัดผ่านผู้จัดการ ผ่านผู้ช่วย ผมว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเรา”

เวลาไปออกงานมีสคริปต์ให้พูด แต่เราไม่อยากจะพูดมีไหม

“มีครับ มีปรับแก้เหมือนกัน เพราะถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ หรือเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แล้วเราไม่ได้รู้จริง เราไม่พูด”

เกิดเหตุการณ์แบบนี้หลายคนก็กังวล จะมีให้ทนายมาตัดสินใจเรื่องการรับงานไหม

“จริงเรามีอยู่แล้ว กว่าจะมาเป็นสัญญาได้จะต้องทำ MOU ก่อนจะต้องคุยในเรื่องของแนวทางใคร ๆ ก็อยากมีเงินพี่ ใคร ๆ ก็อยากรวย แต่ถ้าอยากจะรวยมันควรจะได้เงินมาจากความทุ่มเท เราถึงจะมีความสุขนะ แต่ความเห็นผมว่าไม่ต้องถามผมเรื่องนี้หรอก เขาโดจหนักกันแล้วจริง ๆ นะ ผมลองนึกถึงหัวอกพ่อแม่เขาตอนนี้ ญาติ ๆ เขา ลูกเขา ทุก ๆ คนเราก็เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาหมดแล้วแหละอย่าให้ผมต้องไปพูดถึงเลย ผมไม่ชอบ ต่อยมวยผมก็ไม่ซ้ำคนล้ม ตอนนี้เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูกแต่ว่าจะให้ผมมาพูดเอาหล่อ ตอนนี้อย่าไปยุ่งไม่อยากพูดถึง เราทำอะไรเรารู้ดีแก่ใจ เราอยู่วงการนี้มากี่ปีแล้ว เราทำอะไรไปบ้าง เราทำให้คนเห็นดีกว่า ตอนนี้มีหลายสิ่งที่เราต้องไปโฟกัส นักฟุตบอลของเราเป็นยังไง สภาพทีมเป็นยังไง เราจะช่วยพวกเขาได้ไหม จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ไหม ผมว่าเรายังมีปัญหาอยู่หลายอย่างเลยในสังคมที่เราต้องช่วยกันผ่อนหนักให้เป็นเบาแต่เรื่องนี้ผมว่าก็ให้กฏหมายจัดการ”

การรับงานมันยากขึ้นไหม?

“เราคงไม่อยากเจอหรอก เราคงไม่อยากไปมีปัญหา เรายิ่งต้องละเอียดเนอะ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างที่เราพูดมาตลอด เรามีส่วนในเรื่องของการที่จะทำให้สังคมดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นเวลาที่เราพูดอะไร เวลาเราพูดอะไรไป วันนี้ไม่ใช่ง่าย บางทีเขาอ่านแค่ประโยคเดียวในหัวข้อข่าว แล้วไม่ได้มาฟังสิ่งที่เราพูดทั้งหมดมันก็ชี้นำ ไม่ว่าจะเป็นผม เป็นพี่ ๆ สื่อมวลชน เรามีผลเลยนะ กับการรับผิดชอบต่อการชี้นำของคนในสังคมอยากจะให้คนเห็นไปในทางไหน ดังนั้นผมว่าเวลาเราจะพูดเราจะอะไรเราคงจะต้องคิดกันให้ดีอย่าสักแต่เอาง่ายไว้ก่อน ปกติเราเข้มงวดอยู่แล้ว เราคุยกันไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเงินผมเชื่อในเรื่องของการทัวร์คอนเสิร์ต การเล่นคอนเสิร์ต การทำงาน การเป็นนักแสดงที่ดี ถ่ายหนังให้มันเต็มที่ ถ่ายละครให้มันเต็มที่ เราได้ค่าตัวเรามาเราภูมิใจ เราเอาไปพัฒนาตัวเรา ส่วนของพรีเซ็นเตอร์ อันนี้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบที่เราจะสื่อสารให้คนในสังคมว่าของตรงนี้มันดียังไง ก็อย่างที่บอกไปถ้ารู้สึกว่ามันไม่ดีหรือว่ามีอะไรที่มันลึกซึ้งกว่านั้นก็ต้องดู”


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง