คัดลอก URL แล้ว
“Pong 47 ปี Rock Never Dies” ครั้งแรก!! ของ“โป่ง ปฐมพงษ์” กับเรื่องราวและมิตรภาพบนเส้นทางสายดนตรีตลอด 47 ปี การกลับมารวมตัวของ 6 วง และ 8 มือกีตาร์ระดับพระกาฬบนเวทีเดียวกันอย่างยิ่งใหญ่

“Pong 47 ปี Rock Never Dies” ครั้งแรก!! ของ“โป่ง ปฐมพงษ์” กับเรื่องราวและมิตรภาพบนเส้นทางสายดนตรีตลอด 47 ปี การกลับมารวมตัวของ 6 วง และ 8 มือกีตาร์ระดับพระกาฬบนเวทีเดียวกันอย่างยิ่งใหญ่

แฟนเพลงและศิลปินขาร็อกตบเท้าชมคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ ของร็อกสตาร์ระดับตำนานเมืองไทย ที่เป็นทั้งนักร้องเจ้าของฉายา“กระเดือกทองคำ” และนักแต่งเพลงฝีมือดีชั้นนำของไทย “โป่ง-ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์” หรือ “โป่ง หินเหล็กไฟ” คอนเสิร์ตครั้งแรกกับการกลับมารวมตัวของเพื่อนสมาชิก 6 วง ที่ “โป่ง ปฐมพงศ์” ร่วมก่อตั้งขึ้น ได้แก่ นาอ้อน(Naon), อินเฟอร์โน่(Inferno), โซดา(Soda), ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์(The Olarn Project), หิน เหล็ก ไฟ และเดอะซัน(The Sun) เพื่อบอกเล่าเรื่องราวและมิตรภาพบนเส้นทางสายดนตรีตลอด 47 ปี จากจุดเริ่มต้น จนถึงปัจจุบัน และจะยังเดินทางต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมแขกรับเชิญพิเศษที่มีบทบาทสำคัญในแต่ละช่วงชีวิตของ โป่ง ได้แก่ พี่ซัน-มาโนช พุฒตาล, แม่ลิน-มาลินดา เฮอร์แมน เจ้าของเพจ Malinda Herman และ หญิงชรากับหมาน้อย, ขุนทอง อสุนี, และ น้องแองจี้-ฐิติชา สมบัติพิบูลย์ ในคอนเสิร์ต “Pong 47 ปี Rock Never Dies” ที่จัดขึ้น ณ บีซีซี ฮอลล์ เซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

โดยบรรยากาศภายในงานอบอุ่นและอบอวลไปด้วยแฟนเพลงตัวจริงที่มาพร้อมสัญลักษณ์ของชาวร็อกด้วยกางเกงยีนส์และเสื้อยืดสีดำ พร้อมเหล่าศิลปินร็อกรุ่นเก่ารุ่นใหม่มากมาย อาทิ อี๊ด ฟลาย, กบ แท็กซี่, จั๊ก ชวิน, เอส กล้วยไทย, เจต Tragedy of Murder , ภีร์ Hard Boy ฯลฯ ที่มาเข้าร่วมชมการแสดงสดครั้งสำคัญนี้อย่างเนืองแน่น เมื่อประตูฮอลล์เปิดตามนัดหมาย ประเดิมความมันส์ด้วย 2 เพลงสากลสุดฮิต “Snow Blind” และ “Paranoid” ผลงานของวง Black Sabbath ที่ถือเป็นต้นแบบของชาวเฮฟวี่ เมทัล แนวเพลงยุคแรกที่เป็นแรงบันดาลใจ จุดเริ่มต้นในเส้นทางดนตรียุค’70 ที่ โป่ง ก่อตั้งวงดนตรีครั้งแรกช่วงมัธยมในนาม วงนาอ้อน (Naon) ขึ้นมา ร่วมกับ “สาย-จุมพฏ เลขะพันธุ์” และ มือเบสระดับพระกาฬอย่าง “พิทักษ์ ศรีสังข์” เพื่อนเรียนในวัยเด็กจากชุมพร ที่ต่อมากลายเป็นมือเบสคู่ชีพที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงถัดมาเป็นการแสดงสดของ โป่ง ในยุคของวง “อินเฟอร์โน่” วงลำดับที่ 2 ที่ โป่ง จับมือ “พิทักษ์” ชักชวน “ตุ้ม-วีระ โชติวิเชียร” และ “น้อย-เอกชัย วิมลแก้ว” มาร่วมวง ชื่อเสียงของ”อินเฟอร์โน่” เริ่มเป็นที่รู้จักจากการเล่นสดในคลื่นวิทยุชื่อดัง “คึกคักยามเช้ากับวิฑูร วทัญญู” จากนั้นพัฒนาสู่การเล่นอาชีพตามสถานบันเทิง โดยคืนนี้ โป่งคัด 5 เพลงสากล ที่เล่นประจำในยุคนั้นมาเรียกความมันส์เพิ่มขึ้นตามลำดับ อาทิ เพลงบรรเลง “YYZ” (Rush), “War Pigs” (Black Sabbath), “Burn”(Deep Purple), “Rock and Roll” (Led Zeppelin), “Free Bird” (Lynyrd Skynyrd) ก่อนปิดท้ายช่วงนี้อีก 1 บทเพลงจากแขกรับเชิญคนแรกที่ทำให้ “โป่ง ปฐมพงษ์” เป็นที่รู้จักในช่วงยุควง “ดิ โอฬาร โปรเจ็ค” นั่นคือ “พี่ซัน-มาโนช พุฒตาล” กูรูด้านเพลงและผู้บริหารค่ายเพลง Mile Stone ที่มาเล่าเรื่องราวในช่วงวงโซดาสู่วงดิ โอฬาร พร้อมขับกล่อมแฟนเพลงด้วย “Behind Blue Eyes” ผลงานระดับตำนานจากวง The Who

โป่ง ปฐมพงศ์ เล่าว่าการที่”อินเฟอร์โน่”ตระเวนเล่นตามสถานบันเทิงหลายที่ ทำให้ได้พบเพื่อนนักดนตรีมากขึ้น จนกระทั่ง โป่ง และพิทักษ์ ได้พบกับมือกีตาร์ระดับยอมฝีมืออย่าง “โอ้-โอฬาร พรหมใจ” ที่แต่งดนตรีเก็บไว้หลายเพลง พร้อมชักชวน 3 เพื่อนนักดนตรีที่รู้จักกันในแวดวงอย่าง อาร์ต-สมโชค นวลนิรันดร์ (Guitar), โม-ฉัตรพงษ์ นิยมไทย (Keyboard), บรรจง รัตนโสภณ (Drum/Vocal) มาร่วมทำวงร็อกที่เล่นเพลงไทยซึ่งถือเป็นวงแรก ๆ ของประเทศ โดยโป่งรับหน้าที่เขียนเนื้อเพลง แล้วนำไปเสนอค่ายเพลงแกรมมี่ เมื่อผลงานเข้าตา จึงได้ทำผลงานเป็นอัลบั้มเพลงครั้งแรก โดยมี พี่เต๋อ เรวัต พุทธินันท์ เป็นโปรดิวเซอร์ให้คนแรก และได้ “พี่เล็ก-บุษบา ดาวเรือง” ตั้งชื่อให้ว่าวง “โซดา (Soda)” มีเพลงที่ได้รับการยอมรับมากมาย โดยในช่วงที่ 3 ของการแสดงในนามวงโซดา โป่งและวงก็ได้คัดเอา 5 เพลงที่คุ้นหูของวงโซดามาบรรเลงเรียกบรรยากาศเก่า ๆ ให้ย้อนรำลึกกัน ได้แก่ “กีตาร์พาฝัน”, “สิ่งที่ฉันเห็น”, “ไปเธค”, “เด็กซิ่ง” และ “ปลายคลื่น” ก่อนปิดท้ายโชว์ด้วยการเซอร์ไพร์สแฟนเพลงเรียกเสียงกรี๊ดลั่นฮอลล์ เมื่อมีร่างเล็กๆของหญิงสาว เดินสะพายกีตาร์ออกมาหน้าเวที แสงจากในฮอล์ส่องให้เห็นใบหน้าของ แม่ลินหรือย่าลิน เน็ตไอดอลวัยเก๋าของชาวโซเชี่ยล ที่รู้จักกันจากเพจ “Malinda Herman” และเพจ “หญิงชรากับหมาน้อย” และเธอคนนี้ยังเป็น “พี่ลิน” พี่สาวที่รักและเคารพของโป่ง และสมาชิกวงโซดาทุกคน หนึ่งในบุคคลสำคัญของช่วงหนึ่งในชีวิต ที่เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและเป็นผู้ที่คอยสร้างพลังใจให้แก่กันมาตลอด “แม่ลิน” ดีดกีตาร์โปร่งโชว์เพลงฮิตประจำตัวที่ทำให้ชาวโซเชี่ยลรู้จักทั่วบ้านทั่วเมืองคือ “Why Do I Love You So” ของ Johnny Tillotson เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือสนั่นฮอลล์ ก่อนโชว์จะถูกโยนเข้าสู่ช่วงของการแสดงสดที่เริ่มทวีความหนักแน่นและความมันส์มากขึ้น นั่นคือช่วงของวง”ดิ โอฬาร โปรเจ็ค” (THE OLARN PROJECT)

ทันทีที่เข้าสู่ช่วงแสดงสดของวง”ดิ โอฬาร โปรเจ็ค” บรรยากาศในฮอลล์คึกคักมากขึ้น แฟนเพลงสายร็อคแฮร์แบนด์โยกหัวกันไม่หยุด ประเดิมความมันส์กับเพลง “คน” และ “ไฟปรารถนา” ตามต่อด้วยเสียงกรี๊ดกระหึ่มฮอลล์เมื่อเสียงกีตาร์กีตาร์ถูกบรรเลงไล่เรียงออกมาเป็นท่วงทำนองอินโทรของเพลงสุดฮิตอมตะอย่าง “อย่าหยุดยั้ง” ตามด้วยเสียงของแฟนเพลงกระหึ่มฮอลล์ที่ร่วมร้องไปกับ โป่ง ตลอดทั้งเพลง ก่อนตามต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงฮิตอย่าง “แทนความห่วงใย” ปิดท้ายด้วยเพลงบรรเลง “พลังและความตั้งใจ” ที่ยังคง หนักแน่น พลิ้วไหว ให้เคลิบเคลิ้ม จากนั้นเข้าสู่ช่วงคนสำคัญของชีวิต นั่นคือการขึ้นเวทีของ “น้องแองจี้-ฐิติชา สมบัติพิบูลย์” ลูกสาวแก้วตาดวงใจของ “โป่ง ปฐมพงศ์” ศิลปิลไอดอลชื่อดังแห่งค่าย E29 Music Identities พร้อมโชว์พลังเสียงร้องแบบสด ๆ ในเพลง “Someone Like You” ผลงานศิลปินชื่อก้องโลก Adele ให้แฟนเพลงได้ชื่นชมพร้อมรับพลังจากเสียงปรบมือสนั่นฮอลล์ เรียกได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ แถมน้องแองจี้ ยังทิ้งท้ายหยอดคำหวาน ๆ ให้กับพ่อว่า “ถึงหนูจะร้องแร็พ แต่หนูก็เป็นร็อคเพื่อพ่อได้ค่ะ”

จากนั้นความมันส์ของการแสดงก็แรงและร็อกขึ้นด้วยการอุ่นเครื่องครั้งสุดท้ายกับ 3 เพลงฮิตของ The Sun อย่าง “ง่ายเกินไป”, “ทำดีที่สุดแล้ว” และ “แวมไพร์” ตามมาด้วยวีทีอาร์ของ น้าทิวา-ทิวา สาระจูฑะ บก.นิตยสารสีสันผู้คร่ำหวอดในวงการดนตรีร็อกมานานกว่า 40 ปี และเป็นบุคคลที่นักดนตรีทุกคนให้ความนับถือ น้าทิวามาบอกเล่าเรื่องราวที่มาก่อนการเป็นวงร็อกสตาร์ชื่อดังแห่งยุค’80 และการตั้งชื่อให้กับวง “หินเหล็กไฟ” จากนั้นความเดือดพล่านภายในฮอลล์ก็ระเบิดขึ้นทันทีตั้งแต่เริ่มต้นเมโลดี้ตัวแรกของอินโทรเพลง“นางแมว” ที่เรียกแฟนเพลงแทบทุกคนให้ลุกขึ้นโขยกความมันส์กันทั่วทั้งฮอลล์ ตามมาด้วยการขนเพลงฮิตมาประเคนให้ชาวร็อกได้มันส์กันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “พลังรัก”, “หลงกล”, “ยอม”, “คิดไปเอง”, “สู้”, “หวาดระแวง”, “ศรัทธา” ก่อนปิดท้ายความมันส์ด้วยสองบทเพลง “ค้างคาวไฟ” ที่เชิญ“ขุนทอง อสุนีย์” ผู้เขียนเพลงนี้มาร่วมแจม เล่นเอาชาวร็อคนั่งไม่ติด เรียกว่าเก้าอี้ในฮอลล์แทบถูกทิ้งร้าง เพราะแฟนเพลงทั้งฮอลล์ลุกขึ้นโยกร่วมร้องร่วมมันส์กันทุกคน ก่อนปิดท้ายด้วยอังกอร์ด้วย “Going Down” บทเพลงที่รวม 7 สุดยอดนักกีตาร์มือพระกาฬของเมืองไทยที่เคยร่วมเป็นสมาชิกวงดนตรีทุกยุคของ “โป่ง ปฐมพงศ์” มาโชว์ร่วมกันบนเวที ได้แก่ ป๊อบ เดอะซัน- จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย,โอ้-โอฬาร พรหมใจ, ตุ้ม-วีระ โชติวิเชียร, โต-นำพล รักษาพงษ์ (โต),น้อย,เอกชัย วิมลแก้ว, สาย-มพฏ เลขะพันธุ์, อาร์ต-สมโชค นวลนิรันดร์ และอีก 1 มือกีตาร์รับเชิญอย่าง หมู คาไลโดสโคป ขึ้นมาร่วมแจม งานนี้เรียกเสียงซู้ดปากจากคอเพลงชาวร็อกได้อักโขโดยเฉพาะมือกีตาร์ เรียกได้ว่าเป็นการปิดคอนเสิร์ต “Pong 47 ปี Rock Never Dies” ได้อย่างสมบูรณ์และครบทุกอรรถรสทางดนตรี สร้างความอิ่มเอมใจให้แฟนเพลงชาวร็อกของโป่ง ที่เข้าร่วมชมความมันส์กันตั้งแต่นาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายกันเลยทีเดียว

“โป่ง ปฐมพงศ์” กล่าวทิ้งท้ายหลังจบคอนเสิร์ต “ทุกท่านคงได้รู้จักตัวตนของผมในทุกช่วงเวลาตลอด 47 ปีที่ผ่านมา คงได้เห็นว่าผมผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะประความสำเร็จและอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ผมไม่ได้สุดยอดอะไร บังเอิญเรามีเพื่อน ๆ นักดนตรีที่เก่งอยู่ข้างตัวเรา เพลงของเราจึงออกมาดี มีแฟนเพลงชื่นชอบ ผมขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตตลอดเส้นทางดนตรี ขอบคุณคลาสซี่ เร็คคอร์ด (Classy Records) ที่เป็นคนจุดประกายและลงมือทำโปรเจ็คต์นี้ขึ้นมา ทำให้ผมและเพื่อนๆได้มารวมตัวกันแบบนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งอาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผม เพราะพวกเราก็อายุมากกันแล้ว ขอบคุณแฟนเพลงทุกคนที่เป็นพลังใจให้กันตลอดมา ขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในวันนี้ ขอขอบคุณจากใจจริงๆครับ”


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง