นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)ร่วมกับ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน ที่มีต่อ “วันมาฆบูชา ปี 2567” (24 กุมภาพันธ์ 2567) จากกลุ่มตัวอย่างเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วประเทศจำนวน 21,094 คน ครอบคลุมทุกภูมิภาค ซึ่งมีผลสรุปว่าเด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 85.82 ทราบว่าวันมาฆบูชาปีนี้ ตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 และคิดว่าวันมาฆบูชา มีความสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง“โอวาทปาติโมกข์”แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรกในวันเพ็ญเดือน 3 ร้อยละ 64.76 อันดับ 2 เป็นวันพระสงฆ์ล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้นมาชุมนุมพร้อมกัน จำนวน 1,250 รูป โดยมิได้นัดหมาย ร้อยละ 62.79 อันดับ 3 มีการเผยแผ่หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ร้อยละ 51.55 อันดับ 4 พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็นพระสงฆ์ที่ได้รับการอุปสมบทโดยพระพุทธเจ้า เรียกว่า “เอหิภิกขุสัมปทา” ร้อยละ 43.90 อันดับ 5 มีเหตุอัศจรรย์พร้อมกัน 4 ประการ เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต”ร้อยละ 37.45
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปีนี้เด็ก เยาวชน และประชาชนกว่าร้อยละ 58.77 สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา รองลงมา คือ ร้อยละ 34.10 ไม่แน่ใจแล้วแต่โอกาส และ ร้อยละ 7.13 ไม่สนใจเข้าร่วมงาน เนื่องจากนับถือศาสนาอื่น อยากพักผ่อน โดยพ่อ แม่/ปู่ย่า ตายาย/ญาติพี่น้อง พาลูกหลาน เข้าร่วมกิจกรรมวันมาฆบูชา คือวิธีหรือสิ่งที่จูงใจหรือเชิญชวนให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันมาฆบูชามากขึ้น ร้อยละ 69.52 เป็นอันดับ 1 ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่าครอบครัวเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคมหากครอบครัวเข้มแข็ง สังคมก็จะเข้มแข็งไปด้วย อันดับ 2 เปิดแหล่งเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมหรือเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยีออนไลน์ ร้อยละ 46.51 อันดับ 3 ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ผ่านโซเชียลมีเดีย ร้อยละ 45.12
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่เข้าร่วมระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา เนื่องจากต้องการไปทำกิจกรรม 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 ทำบุญ ทำทาน ร้อยละ 53.49 อันดับ 2 ตักบาตรพระสงฆ์ ร้อยละ 51.60 อันดับ 3 ลด ละ เลิก อบายมุข ร้อยละ 41.84 อันดับ 4 เวียนเทียนร้อยละ 39.58 และอันดับ 5 ถวายสังฆทาน ร้อยละ 30.76 และในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนจะนำหลักคำสอนข้อใดมายึดถือปฏิบัติและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 สติ ความรู้สึกตัว ความระลึกได้ ความรับรู้ การเอาจิตไปรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือปรากฏขึ้นในปัจจุบันร้อยละ 64.30 อันดับ 2 ศีล 5 ศีลพื้นฐานที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธทุกคนยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต ร้อยละ 46.71 อันดับ 3 หลักการ 3 ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ร้อยละ 46.30 อันดับ 4 พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ร้อยละ 34.59 อันดับ 5 มัชฌิมาปฏิปทา ยึดมั่นในทางสายกลางร้อยละ 34.48
นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันผลสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามเด็ก เยาวชน และประชาชน คิดว่าภาครัฐควรส่งเสริมกิจกรรมใดเนื่องในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามมีข้อเสนอแนะให้จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตร ฟังธรรม เวียนเทียน ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งรณรงค์ให้ ลด ละ เลิก อบายมุข โดยนำศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดง บุคคลที่มีชื่อเสียง มาร่วมรณรงค์ เชิญชวน ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ ใช้ความรู้ด้านพระพุทธศาสนา ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์ เกมส์ การ์ตูน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เพราะในปัจจุบันเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีอิทธิพลในชีวิตประจำวันอย่างมาก จัดกิจกรรมค่ายคุณธรรมจริยธรรม เพื่อส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชน มีคุณธรรมมากขึ้น กิจกรรมท่องเที่ยวในเส้นทางสายบุญ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างรายได้สู่ภาคการท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งวธ.จะนำความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดมาประกอบการพิจารณาในการจัดกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในปีต่อไปเพื่อให้การจัดกิจกรรมมีความน่าสนใจ ส่งเสริมการเรียนรู้พระพุทธศาสนาและการท่องเที่ยวเชิงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ