19 กรกฎาคม 2566 สัญญานของอายุผิวที่มากขึ้น คือความหย่อนคล้อยและริ้วรอยตามกาลเวลา จึงเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกกระชับและทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเทคโนโลยีกลุ่มคลื่นพลังงานเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะเป็นหัตถการที่ไม่ก่อให้เกิดแผล (Non-invasive) ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องพักฟื้น ส่งผลให้ EMFACE กลายเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมล่าสุดที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในวงการแพทย์ความงาม ด้วยจุดเด่นการใช้คลื่นพลังงานกระตุ้นลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อเพื่อผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้เป็นครั้งแรกของโลก
จุดเริ่มต้นของ EMFACE มาจากแนวคิดบุกเบิกของ BTL Aesthetics (บีทีแอล เอสเธติกส์) ผู้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกาย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ EMSCULPT และ EMSCULPT NEO นวัตกรรมสร้างมวลกล้ามเนื้อเพื่อช่วยรักษารูปร่างให้แลดูเฟิร์มกระชับขึ้น ด้วยเทคนิคการกระตุ้นกลไกในร่างกายให้เกิดการสร้างมวลกล้ามเนื้อและเร่งอัตราการสลายไขมันสะสมอย่างเป็นธรรมชาติ นำมาสู่การคิดค้นและพัฒนานวัตกรรม EMFACE ที่บริษัทฯ ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาต่อยอดกับกล้ามเนื้อบนใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยให้เกิดการยกกระชับจากภายในสู่ภายนอก
นางสาวบัณฑิตา อุมัษเฐียร ผู้จัดการประจำประเทศไทย จาก BTL Aesthetics กล่าวว่า “เทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะความงามในยุคใหม่หรือ Modern Aesthetics นั้น ผู้คนมักให้ความสำคัญกับความสวยงามในแบบฉบับที่เป็นตัวเอง รวมทั้งยังใส่ใจถึงสุขภาพองค์รวมหรือ Wellness ที่ยั่งยืนด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจของความสวยอย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับ EMFACE ที่เราศึกษาถึงต้นเหตุของปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย จึงไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับผิวหนังชั้นบนและชั้น SMAS เท่านั้น แต่สามารถให้การดูแลในทุกชั้นผิว รวมถึงส่วนของชั้นกล้ามเนื้อซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกที่สุดและทำหน้าที่พยุงชั้นผิวทั้งหมดไว้ ซึ่งมีความสำคัญและส่งผลต่อความหย่อนคล้อย นี่คือจุดเด่นของ EMFACE ที่ช่วยสร้างผิวหน้ายกกระชับได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือทำลายเซลล์ผิว ซึ่งตอบโจทย์ความงามยุคใหม่ที่ยั่งยืนทั้งระหว่างกระบวนการรักษาและผลลัพธ์หลังทำ”
การทำงานของ EMFACE ได้ผสานสองคลื่นพลังงานประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อใบหน้าโดยเฉพาะ ได้แก่ HIFES™ (High Intensity Facial Electrical Stimulation) ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อเฉพาะมัดที่ทำให้หน้ายกกระชับใต้ผิว และทำให้แต่ละชั้นผิวได้รับการพยุงกันได้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อยเกิดการยกกระชับ และคลื่นพลังงาน Synchronized RF ทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติน ช่วยคืนความยืดหยุ่นให้ผิวดูเรียบเนียนและชะลออายุผิวให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างเป็นธรรมชาติ กลไกนี้ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) ที่ทำหน้าที่ยึดโยงผิวในแต่ละชั้นให้มีความแข็งแรง
สอดคล้องกับผลวิจัยขั้นต้นโดย ศ. นพ. วรพงษ์ มนัสเกียรติ หัวหน้าศูนย์เลเซอร์ผิวหนังศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ทำการศึกษาผลลัพธ์จากกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทยจำนวน 15 คน ภายหลัง 1 เดือนที่เข้ารับการรักษาด้วยโปรแกรม EMFACE ครบ 4 ครั้ง โดยกระบวนการวิจัยดังกล่าวได้นำโซลูชันการวิเคราะห์สภาพผิวโดยการถ่ายภาพแบบสามมิติ ได้แก่ QuantifiCare และเทคโนโลยี Antera 3D® มาใช้ในการวิเคราะห์สภาพผิวและประเมินประสิทธิผลทางสถิติ
ศ. นพ. วรพงษ์ เผยว่า “ไม่ว่าจะด้วยอายุที่มากขึ้นหรือมลภาวะ ต่างส่งผลให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่พยุงชั้นไขมันใต้ผิวหน้าเสื่อมสภาพลง วิทยาการของ EMFACE ในการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ น่าจะมีผลช่วยกระตุ้นให้เกิดการเสริมสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่พยุงชั้นไขมันขึ้นใหม่ด้วย ซึ่งจะส่งผลช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น เห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญของกลุ่มตัวอย่าง โดยพบการยกตัวของผิวบริเวณหน้าผากและแก้ม ไปจนถึงริ้วรอยบริเวณหางตาที่ตื้นขึ้น นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ผิวด้วยโซลูชันสามมิติยังพบว่าปริมาตรของผิวบริเวณร่องน้ำตาและแก้มมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้ร่องตาที่ลึกและปัญหาแก้มตอบดูเต็มอิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน การวิจัยดังกล่าวยังครอบคลุมถึงประสิทธิผลด้านความเรียบของสภาพผิว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้พบว่าผิวบริเวณหน้าผากมีความเรียบขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน นับเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายสำหรับการรักษาที่ไม่พึ่งการศัลยกรรม”
EMFACE ถือเป็นนวัตกรรมที่ถูกขนานนามว่าเป็น Game Changer ของวงการยกกระชับใบหน้า หนึ่งในทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์ความงามอย่างยั่งยืน สามารถแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อย ร่องริ้วรอย และช่วยชะลออายุผิวให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือบาดแผล (Non-invasive) และไม่ต้องพักฟื้น ในแต่ละครั้งใช้เวลารักษาเพียง 20 นาทีเท่านั้น โดยจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนภายใน 1-3 เดือน หลังรักษาครบโปรแกรม 4 ครั้ง (เว้นระยะห่างครั้งละ 1 สัปดาห์)