คัดลอก URL แล้ว
“ยศสิงห์” เลือก “กล้าธรรม” เปิดเกมการเมืองใหม่—ประกาศลุยสะสางปัญหาหมักหมม

“ยศสิงห์” เลือก “กล้าธรรม” เปิดเกมการเมืองใหม่—ประกาศลุยสะสางปัญหาหมักหมม

กรุงเทพฯ (16 ธ.ค.) บรรยากาศการเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว เมื่อ พรรคกล้าธรรม เปิดบ้านต้อนรับอดีต สส. และอดีตนักการเมืองท้องถิ่น “กลุ่มเพื่อนต่อ” ของ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ทยอยเข้าร่วมงานและสมัครสมาชิกพรรค เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 โดยมี นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค เป็นผู้ต้อนรับและสวมเสื้อพรรคให้ด้วยตนเอง

แต่ “ไฮไลต์” ของงานครั้งนี้อยู่ที่การปรากฏตัวของ จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งถูกจับตาว่าเป็น “ตัวแปรเชิงพลังงาน” ของพรรค—ไม่ใช่ในฐานะผู้ที่พูดมากที่สุด หากเป็นคนที่ส่งสัญญาณชัดที่สุดว่า เกมการเมืองกำลังเปลี่ยนจากการต่อรองตำแหน่ง ไปสู่การต่อรองด้วยผลงานและพลังของการลงมือทำ

“ผมเลือกกล้าธรรม…เพราะพรรคเชื่อให้ผมทำ”

ในถ้อยคำที่สั้นแต่หนักแน่น ยศสิงห์สะท้อนเหตุผลของการตัดสินใจว่า เขา “เลือกกล้าธรรม” เพราะเป็นพื้นที่ที่ “เชื่อให้ลุย” และพร้อมสนับสนุนให้การทำงาน “ไปถึงปลายทาง” เพื่อสะสางปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน โดยย้ำแนวคิดเดิมที่ใช้ในการทำงานรัฐเสมอว่า

“นักการเมืองต้องเป็นคนที่ประชาชนพึ่งพาได้ และประเทศชาติพึ่งพาได้—เเละต้องไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด”

แหล่งข่าวในงานสะท้อนตรงกันว่า น้ำหนักของยศสิงห์อยู่ที่ “ความพร้อม” มากกว่าการสร้างวาทกรรม และการเลือกยืนข้างพรรคที่ให้ความไว้วางใจเชิงภารกิจ คือสารที่ทำให้ผู้ร่วมงานจำนวนมาก “คิดต่อเองได้” ว่าการเมืองรอบนี้กำลังเข้าสู่ช่วงจัดทัพจริงจัง

กล้าธรรมประกาศขยายสมรภูมิ “ใต้–ตะวันออก–อีสาน”

นฤมลระบุว่า การรวมทีมครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฐานภาคใต้ แต่จะขยายการทำงานไปถึงภาคตะวันออกและภาคอีสาน พร้อมเตรียมเปิดแคมเปญหาเสียงและเปิดตัวผู้สมัครต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าส่งผู้สมัคร ครบ 400 เขต

ท่ามกลางคำถามเรื่อง “พื้นที่ซับซ้อน” และการชนกับพรรคใหญ่ นฤมลยืนยันว่าเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ และพรรคพร้อมสนับสนุนผู้สมัครเต็มที่ พร้อมทิ้งประโยคที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณการรวบเครือข่ายการเมืองระดับพื้นที่ว่า “ขอให้รอดูบ้านใหญ่ที่กำลังจะทยอยเข้ามา”

ความหมายเชิงทิศทางการเมืองไทย

การเปิดตัว “กลุ่มเพื่อนต่อ” ในวันเดียวกับการปรากฏตัวของยศสิงห์ ถูกอ่านในแวดวงการเมืองว่าเป็น “การจัดสมการใหม่” ของการเลือกตั้งครั้งหน้า—พรรคการเมืองไม่ได้แข่งกันแค่จำนวนคน แต่แข่งกันที่ ความน่าเชื่อถือในการบริหารงานจริง และ “ความสามารถในการดันงานที่ติดล็อก” ให้เดินหน้าได้

โดยกรอบเวลาเลือกตั้งยิ่งเร่งแรงกดดันให้ทุกพรรคต้องขยับเร็ว หลัง กกต. กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป 8 กุมภาพันธ์ 2569


ข่าวที่เกี่ยวข้อง