วันนี้ (5 ตุลาคม 2568) เวลา 14.30 น. นายวัชรพล คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานก่อสร้าง 2 ในฐานะรองผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) พร้อมด้วย นางวรัญญา ลีลาบูรณพงศ์ ผู้อำนวยการเขตดุสิต และ ผศ.นพ.อนุแสง จิตสมเกษม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ร่วมกันแถลงความคืบหน้าในการแก้ไขสถานการณ์ “หลุมยุบ” บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ
โดยนายวัชรพล เปิดเผยว่า การดำเนินการในช่วงสายที่ผ่านมาของเมื่อวานนี้ (4 ตุลาคม 2568) ได้มีการประชุมคณะทำงานและมีมติว่าให้รื้อถอนอาคาร สน.สามเสนโดยเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัย ประกอบกับช่วงเที่ยงวานนี้ที่มีฝนตกหนักช่วงแรก ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักงานระบายน้ำเพื่อสูบน้ำ หลังจากนั้นช่วงกลางคืนทางกรุงเทพมหานครนำเครื่องจักรหุ่นยนต์เข้ามาตัดชิ้นส่วน เริ่มต้นที่อาคารจุดเฝ้าระวัง ซึ่งจะเร่งดำเนินการตรงส่วนนั้นก่อน และได้ทำการตัดตอหม้อด้านล่าง เข็มขวาสุดด้านล่างเพื่อลดแรงและน้ำหนัก ส่วนช่วงกลางคืนใช้เป็นหุ่นยนต์ในการคีบส่วนด้านบนของตัวโครงอาคาร ซึ่งเมื่อช่วงสาย เจ้าหน้าที่ทางบริษัทผู้รับเหมาได้ขึ้นกระเช้าและรื้อในส่วนของโครงอาคารที่จะเริ่มจากทางด้านขวาของตัวอาคาร
นายวัชรพล เปิดเผยต่อว่า พื้นที่ตรงหน้างานค่อนข้างจำกัดต้องทำควบคู่กันไป ทั้งการรื้ออาคาร และการถมทรายเพื่อเสริมพื้นผิวถนน ซึ่งได้ลงทรายไปแล้ว 700-800 คิว ปริมาณทรายทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่ 4,500 คิว ตอนนี้เริ่มเกลี่ยบริเวณหลุมเพื่อไปยันในส่วนของพื้นบริเวณแยกวชิรพยาบาล และในช่วงบ่ายนี้เมื่อปรับทรายแล้ว จะมีการนำเครื่องมือเพื่อไปเกร้าท์ซีเมนต์ ฉีดน้ำยาเพื่อเสริมคุณภาพดินทางด้านใต้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการต่อในวันนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตัวตึกตอนนี้ที่เอนตัวเข้าหากัน ขั้นตอนที่จะทำฝั่งขวาก่อนนั้นจะต้องรื้ออย่างไร มันจะดึงรั้งกันหรือไม่ นายวัชรพล กล่าวว่า การรื้อจะเริ่มตรงด้านขวาก่อนเพื่อกระจายน้ำหนัก ส่วนด้านใต้จะมีการสังเกตและจะถมทรายเพื่อยันและเพิ่มเสถียรภาพพื้นดิน รวมถึงจะรื้อจากด้านบนลงมาด้านล่าง ส่วนจุดใดที่เป็นอุปกรณ์ของ สน.สามเสน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการติดตั้งไปแล้ว จะทำการรื้อออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการรื้อจะต้องรื้อด้วยความระมัดระวัง เพราะตัวอาคารยังมีการทรุดตัว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการทรุดตัวลงไปกว่า 20-50 เซนติเมตรขึ้นอยู่กับตำแหน่ง
โดยขั้นตอนการรื้อจะต้องมีการทำสลับกันกับการเสริมคุณภาพของดิน เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด จึงค่อยใช้หุ่นยนต์เข้าไปตัดชิ้นส่วนโครงสร้างอาคาร ซึ่งจะทำกิจกรรมนี้สลับกัน และต้องวิเคราะห์ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญในการทำงานแต่ละขั้นตอน เช่น การตัดพื้นตัวอาคารเป็นโพสเทสชั่นไม่ใช่ตัวคานเพื่อไม่ให้ความเสียหายของตัวอาคารลามไปทั้งหมด ตอนนี้ทางทีมผู้ว่าจ้างกำลังวิเคราะห์อยู่ และย้ำว่าต้องตัดด้วยความระมัดระวัง คำนึงถึงความปลอดภัยเพราะสิ่งที่จะทำตอนนี้เราเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลักเพราะต้องทำทีละลำดับขั้น
อย่างไรก็ตาม ยังยืนยันว่าตัวอาคารนั้นต้องรื้อทั้งหมดแต่ต้องดำเนินการรื้อทีละส่วน และไม่รื้อในคราวเดียว แต่ท้ายที่สุดอาคารจะต้องสร้างขึ้นมาใหม่ โดยอุปสรรคในการเปิดการจราจร คือตัวของอาคาร ที่ยังคงต้องรื้อถอนอยู่ แต่หากประเมินแล้วการจราจรเปิดใช้งานได้ แต่ตัวอาคารยังซ่อมไม่เสร็จก็ยังคงสามารถใช้สัญจรพื้นที่ถนนได้อยู่ แต่จะแบ่งพื้นที่ให้ทางเจ้าหน้าที่ทำการรื้อถอนอาคาร
ด้าน ผอ.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเรื่องกองอำนวยการว่าเซ็นเซอร์เป็นปกติ ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวของอาคาร เป็นอย่างนี้นับตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุการณ์จนปัจจุบัน แต่อีกประเด็นคือวันนี้เป็นวันหยุด มีคนไข้เข้ารับบริการประมาณ 100 คน และมีปัญหาเรื่องเดิมคือการจราจร ซึ่งทางเราก็มีการบริการรถสาธารณะ คือ แท็กซี่เข้ามารับส่ง แต่วันนี้ไม่ได้บริการ Shutter Bus เพราะคนไข้ไม่ค่อยเยอะ ซึ่งในพรุ่งนี้ (6 ตุลาคม 2568) จะมีคนไข้กลับมาราว 3,000 กว่าราย อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณผู้สื่อข่าวที่ทำให้ทั้งผู้ป่วย คนไข้ได้รับรู้เริ่มเข้าใจเส้นทางการสัญจร ซึ่งถือว่าไม่ค่อยติดขัดมากเหมือนวันแรก ๆ
ส่วนกรณีที่มีการเลื่อนการเปิดพื้นที่จราจรแบบไม่มีกำหนด ทางโรงพยาบาลจะมีการรับมืออย่างไร ผอ.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า กำหนดการเปิดถนนตอนนี้ เส้นทางจราจรล่าสุดสามารถรองรับคนไข้ได้ 4-5 พันคน แต่ที่กังวลใจและได้คุยกองอำนวยการ คือช่วงปลายปี ที่จะมีการเปิดเทอมของโรงเรียน จะมีผู้คนสัญจรประมาณ 5-7 พันคนต่อวัน ก็จะทำให้การสัญจรติดขัด แต่เบื้องต้น กองอำนวยการก็จะต้องรอดูแผนของทาง รฟม. และผู้รับเหมาอีกที
ทั้งนี้ ผศ.นพ.อนุแสง กล่าวว่า การจราจรบริเวณโดยรอบวันนี้ถือว่าดีขึ้น มีการจัดการจุดจอดรถสาธารณะและแท็กซี่ให้สะดวกมากขึ้น แต่ช่วงเปิดเทอมจะต้องมีการประสานงานกับโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อเตรียมรับมือกับปริมาณคนที่เพิ่มขึ้น