คัดลอก URL แล้ว
ภัยเงียบออนไลน์! “สว.ภิญญาพัชญ์” ตะลึง เด็ก 18 ถูกหลอกไป “เขมร”

ภัยเงียบออนไลน์! “สว.ภิญญาพัชญ์” ตะลึง เด็ก 18 ถูกหลอกไป “เขมร”

วันนี้ (23 ก.ย. 2568) ที่รัฐสภา น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขอหารือต่อที่ประชุมวุฒิสภา ถึงปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ว่า ตอนนี้กระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ล่าสุดมีกรณีปรากฏเป็นข่าวว่า มารดาได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ หลังจากบุตรชายอายุเพียง 17 ปี ถูกชักชวนให้เดินทางไปทำงานโดยคนรู้จักที่พบผ่านช่องทางออนไลน์ ต่อมากลับมีการส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือว่า “โดนจับมาเขมร ช่วยด้วย” โดยพบสัญญาณโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

กรณีดังกล่าวไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะบุคคลหรือครอบครัว แต่สะท้อนถึงภัยคุกคามที่กำลังแพร่หลายอย่างกว้างขวางในสังคมไทย คือ ปัญหาการค้ามนุษย์และการล่อลวงแรงงานข้ามชาติ ซึ่งในปัจจุบันมักมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ แอปพลิเคชันสนทนา และเกมออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการชักจูงผู้เสียหาย โดยมีการเสนอค่าตอบแทนสูงเกินจริง หรืองานที่ดูเหมือนง่ายแต่แท้จริงแล้วเป็นงานผิดกฎหมาย เช่น การทำงานให้แก๊งคอลเซนเตอร์ การพนันออนไลน์ หรือการบังคับใช้แรงงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยเมื่อเหยื่อเดินทางไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน มักถูกยึดหนังสือเดินทาง กักขังหน่วงเหนี่ยว และถูกบังคับให้ทำงานในสภาพที่ใกล้เคียงกับการค้ามนุษย์ ขาดอิสระและถูกคุกคามทางร่างกายและจิตใจ เหตุการณ์เช่นนี้กำลังกลายเป็นปัญหาความมั่นคงของชาติ ทั้งในมิติความปลอดภัยไซเบอร์ การจัดการชายแดน และสิทธิมนุษยชนของพลเมืองไทย

น.ส.ภิญญาพัชญ์ ระบุว่า กลุ่มเป้าหมายที่เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมากที่สุดคือเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะยังขาดภูมิคุ้มกันในการแยกแยะข้อมูลและขาดประสบการณ์ในโลกการทำงาน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐควรเร่งรัดจัดทำมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลในระดับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน รวมถึงการจัดหาโครงการเสริมทักษะอาชีพและช่องทางหางานที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เยาวชนต้องมองหาช่องทางทำงานที่ไม่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเฝ้าระวังเรื่องการค้ามนุษย์ แม้จะมีความพยายามปรับปรุงกฎหมายและมาตรการบังคับใช้ แต่ยังคงพบช่องโหว่จำนวนมาก โดยเฉพาะตามแนวชายแดน เช่น ที่จังหวัดสระแก้ว อรัญประเทศ มุกดาหาร และเชียงราย ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงแรงงานผิดกฎหมาย รัฐบาลควรเร่งเจรจาและสร้างความร่วมมือเชิงรุกกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมา ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง และการปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ร่วมกัน

นอกจากนี้ ตนเสนอให้พิจารณาจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการล่อลวงออนไลน์และค้ามนุษย์แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ที่สามารถรับเรื่อง ประสานงาน และติดตามคดีได้อย่างเป็นระบบ และมีสายด่วนกลางที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมงด้วย

“รัฐคือเกราะชั้นนอก แต่เกราะชั้นในที่แข็งแรงที่สุดคือครอบครัวและตัวเด็กเอง หากเราสร้างภูมิคุ้มกันในใจเยาวชนได้ เขาจะไม่ตกเป็นเหยื่อ แม้เผชิญกับกับดักออนไลน์ที่ร้ายกาจเพียงใดก็ตาม” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง