คัดลอก URL แล้ว
“บิ๊กเต่า” จ่อใช้หลักนิติศาสตร์คุมผู้มีอิทธิพล “วัดบางคลาน” หลังพบกลุ่มญาติเจ้าอาวาสเข้าบริหารวัด

“บิ๊กเต่า” จ่อใช้หลักนิติศาสตร์คุมผู้มีอิทธิพล “วัดบางคลาน” หลังพบกลุ่มญาติเจ้าอาวาสเข้าบริหารวัด

วันที่ 15 กันยายน 2568 ความคืบหน้าการตรวจสอบวัดบางคลาน จ.พิจิตร หลังมีประเด็นว่ามีเงินของวัดหายไป 30-40 ล้านบาท โดยเรื่องนี้พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ประเด็นเรื่องวัดบางคลานเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานกว่า 10 ปี จนสถานการณ์มันดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราได้ไปตกลงกับเจ้าอาวาสไว้ให้เข้าไปบริหารวัด 1 ปีต้องแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อย แต่ปรากฏว่า 1 ปีการแก้ปัญหายังไม่เสร็จสิ้น และเหมือนจะมีปัญหาเพิ่มจึงไปพูดคุยเรื่องสัญญาใจว่าจะทำอย่างไรต่อ เจ้าอาวาสก็ยอมลาออกจากตำแหน่ง มีการตั้งรักษาการขึ้นมาใหม่ แต่รักษาการคนใหม่ก็เป็นกลุ่มอำนาจเก่าที่มีผลประโยชน์กับวัด เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องเอาคนกลางเข้าไปแก้ปัญหาจริงๆ โดยอาศัยการปกครองแบบรัฐศาสตร์ ด้วยการใช้ผู้นำชุมชนมาเป็นตัวตั้ง และอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้มีการประชุมร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จนได้ข้อสรุปว่าให้รองเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรมารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบางคาน

ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ได้ใช้นิติศาสตร์ในการเข้าไป เพราะต้องการให้วัดสงบ แต่วันนี้มีปัญหาเราคงต้องมารื้อ และต้องใช้นิติศาสตร์เข้าไปดำเนินการตรวจสอบเงินทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งให้คนเข้าไปซื้อพระจากมูลนิธิของวัดแต่เมื่อสแกนจ่ายเงินแล้วปรากฏว่าชื่อบัญชีไม่ใช่ชื่อของวัดแต่ชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขั้วอำนาจเดิม จึงนำข้อมูลทั้งหมดไปออกหมายศาลเพื่อขอหมายค้น สิ่งที่ตรวจค้นได้ก็ได้พยานหลักฐาน ที่เป็นเส้นทางการเงิน ที่มีการทำธุรกรรมต่างๆพอสมควร และมีการนำเงินของวัดแบ่งใส่เป็นซอง ไปอยู่ที่บ้านของแต่ละคนที่มีความเกี่ยวข้องกับขั้วอำนาจเดิม ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

และปัญหาตลอด 10 ปีของวัดบางคลานพบว่า มีเงินวัดหายไป 35 ล้านบาท จากเงินร้อยกว่าล้าน ซึ่งจะมีการตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้งว่านำไปใช้อะไรบ้าง ว่าจะต้องชี้แจงให้ได้ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป มูลนิธิที่มีการซื้อขายเช่าพระมีมูลค่าเท่าไหร่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่าเรายังไม่ได้ไปลึกขนาดนั้น แต่เราเก็บข้อมูล และมีการนำเงินไปซื้อพระทั้งหลักพัก จนถึงหลักหมื่นบาทเพื่อเอามาเป็นพยานหลักฐานที่จะคลี่คลายปัญหาภายในวัด ซึ่งเรื่องนี้จะมีคนผิดอย่างแน่นอนเพราะอาจจะมีคนหมิ่มเหม่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

สำหรับกลุ่มผู้มีอำนาจที่คอยดูแลภายในวัดเรื่องนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่าเป็นกลุ่มญาติพี่น้อง ซึ่งมีทั้งพระที่อยู่บวชอยู่ภายในวัดที่มีอำนาจ และดึงญาติๆเข้ามาบริหารภายในวัด เพื่อดูแลกิจการต่างๆภายในวัด ซึ่งกลุ่มนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอดีต สว. เพราะกลุ่มของสว. เป็นกลุ่มของชาวบ้านที่ไม่ได้มีสิทธิ์เข้ามาบริหารภายในวัด

ส่วนการตรวจสอบวัดโสธรวรารามวรวิหาร อยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงาน ซึ่งในวันพุธนี้ จะมีสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทราเข้ามาไม่ให้ข้อมูล เมื่อถามว่าเกี่ยวข้องกับที่โซเชียลแชร์ประเด็นเรื่องศึกชิงนางหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่าขอสงวนเรื่องนี้เอาไว้ก่อนไม่อยากจะเปิดเผย ขอตรวจสอบก่อนเดี๋ยวมันจะไม่เป็นข้อเท็จจริง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง