
วันที่ 9 เมษายน 2568 เมื่อเวลา 18.30 น. ภายในบริเวณตึกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร นายสิริโรจน์ สิริพลากรกิจ ผู้บริหาร บริษัท ปิยะมิตร กรุ๊ป จำกัด ในฐานะทีมรื้อถอน และเจ้าของรถแบคโฮขนาด 120 ตัน ซึ่งเป็นรถแบคโฮที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงแผนปฏิบัติการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรดังกล่าวมายังพื้นที่
โดยนายสิริโรจน์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายรถแบคโฮยักษ์คันนี้มาจากย่านราชประสงค์ เพื่อสนับสนุนภารกิจการรื้อถอนซากอาคาร สตง. โดยมีเป้าหมายหลักในการรื้อถอนบริเวณโซน A และ B เป็นอันดับแรก เนื่องจากข้อมูลจากการค้นหาของทีมกู้ภัยนานาชาติ และคำให้การของผู้รอดชีวิต บ่งชี้ว่าบริเวณดังกล่าวเป็นบันไดหนีไฟ ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจมีผู้สูญหายติดอยู่จำนวนมาก
นอกจากนี้ รถแบคโฮขนาดใหญ่นี้จะถูกนำไปใช้ในการรื้อถอนบริเวณยอดด้านบนสุดของซากอาคารด้วย เนื่องจากเครื่องจักรหนักที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถเข้าถึงและรื้อถอนได้ โดยรถแบคโฮคันดังกล่าวมีความยาวของแขนถึง 42 เมตร แต่จะนำมาใช้งานในระยะ 30 เมตร ซึ่งเพียงพอต่อความสูงของเศษซากอาคารที่วัดได้ประมาณ 20 เมตร ขณะนี้ได้มีการแยกชิ้นส่วนของรถมารอบางส่วนแล้ว อยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายตัวรถ และคาดว่าจะสามารถประกอบและพร้อมใช้งานได้ภายในคืนนี้

สำหรับวิธีการรื้อถอน นายสิริโรจน์ อธิบายว่า ภารกิจจะเน้นการใช้หัวหนีบของรถแบคโฮ ในการทำลายคอนกรีตที่อยู่ด้านบน และมีหัวตัดเหล็กพิเศษที่สามารถตัดและดึงโครงสร้างเหล็กลงมาได้ เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการรื้อถอนอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์นี้ มีความแตกต่างจากการรื้อถอนทั่วไป คือ ต้องนำปูนออกจากผู้ประสบภัย แทนที่จะนำเหล็กออกจากปูน ดังนั้น การปฏิบัติงานจะต้องให้ความเคารพต่อผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิต โดยจะใช้รถแบคโฮในการค้นหาและรื้อถอนถึง 90% และจะสลับให้สุนัข K9 เข้าไปตรวจค้นในช่วงที่เครื่องจักรหยุดพัก
นายสิริโรจน์ ยังกล่าวถึงความยากของการรื้อถอนในครั้งนี้ เนื่องจากไม่สามารถทราบสภาพของโครงสร้างที่อยู่ด้านล่างได้ชัดเจน รวมถึงความเป็นไปได้ที่โครงลิฟท์จะหักหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทีมงานยังคงมีความหวังว่า หากเปิดพื้นที่แล้วพบโครงลิฟท์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ อาจนำมาซึ่งข่าวดีของการพบผู้สูญหายหรือผู้รอดชีวิตได้ แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีสิ่งใดทับถมอยู่บ้าง และจะสามารถรื้อถอนออกมาได้หรือไม่ เนื่องจากซากอาคารทับถมกันอย่างหนาแน่น
ถึงแม้ทีมงานจะทราบจุดที่คาดว่ามีผู้สูญหายติดอยู่ แต่เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมไม่สามารถเข้าถึงได้ การนำรถแบคโฮขนาดใหญ่เข้ามา จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างมาก ปัจจุบันภายในพื้นที่ปฏิบัติงานมีเครื่องจักรหนักหรือรถแบคโฮถึง 30-40 คัน ซึ่งมีการปรับแผนการทำงานเพื่อเร่งรื้อถอนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และมีการสลับเปลี่ยนคนขับอย่างต่อเนื่อง
รถแบคโฮคันใหม่ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานมีรหัสรุ่น โกเบลโก้ SK1000 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรื้อถอนมากกว่ารถรุ่น SK200 ที่ใช้อยู่เดิมถึง 6 เท่า
สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับการทรุดตัวของพื้นดินจากการนำเครื่องจักรหนักเข้ามา นายสิริโรจน์ มองว่าไม่น่ากังวล เนื่องจากมีการทำลายพื้นผิวเดิมและนำเศษวัสดุคอนกรีตมาถมให้เป็นถนนแล้ว ทำให้พื้นดินมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของรถแบคโฮขนาดใหญ่ได้
เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงาน พบว่า เครื่องจักรหนักที่ใหญ่ที่สุดที่ปฏิบัติงานอยู่ในขณะนี้ สามารถรื้อถอนได้ประมาณ 500 ตารางเมตรต่อวัน แต่รถแบคโฮ โกเบลโก้ SK1000 จะมีความสามารถในการรื้อถอนถึง 2,000 ตารางเมตรต่อวัน ซึ่งเร็วกว่าถึง 4 เท่า คาดว่าจะช่วยให้ภารกิจการรื้อถอนมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการค้นหาผู้สูญหายได้ในเร็วขึ้น


ภาพ: #วิชาญโพธิ