เหตุแผ่นดินไหวไม่เพียงส่งผลต่อโครงสร้างอาคาร ถนน หรือระบบสาธารณูปโภค หากแต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนลึกลงไปถึงจิตใจของผู้คนโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย การสูญเสียความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตประจำวันอาจก่อให้เกิดความกลัว วิตกกังวล หรือแม้แต่ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) การเยียวยาด้านจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการฟื้นฟูสาธารณูปโภค
- ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ในช่วงแรกหลังภัยพิบัติ เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะรู้สึกสับสน หวาดกลัว หรือแม้แต่โกรธ ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด การยอมรับว่าเรากำลังเจ็บปวด เป็นก้าวแรกของการฟื้นตัว ไม่ต้องรีบ “เข้มแข็ง” แต่ให้โอกาสตัวเองได้รู้สึกอย่างแท้จริง - พูดคุยกับใครสักคน
การได้เล่าเรื่อง หรือแบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่จิตวิทยา จะช่วยลดแรงกดดันในใจ หากไม่สะดวกพูด ลองเขียนบันทึกความรู้สึกก็สามารถช่วยได้เช่นกัน - เชื่อมโยงกับชุมชน
การร่วมมือช่วยเหลือกันในชุมชน เช่น การออกไปเป็นอาสาสมัคร หรือแม้แต่การทำอาหารแบ่งปันกันในครอบครัว จะช่วยสร้างความรู้สึกว่า “เราไม่ได้อยู่คนเดียว” และเป็นแรงสนับสนุนทางใจที่ทรงพลัง - กลับมาทำกิจวัตรที่ให้ความรู้สึกมั่นคง
ความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน เช่น การตื่นนอนตามเวลา การกินอาหารให้ครบมื้อ หรือการทำงานอดิเรกเล็กๆ ช่วยสร้างความมั่นคงในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป - ให้เวลากับตัวเอง
การเยียวยาจิตใจไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ บางคนอาจใช้เวลาไม่กี่วัน บางคนอาจใช้เวลานานนับเดือน อย่ากดดันตัวเองว่าต้อง “หายดี” ตามกรอบเวลาใด การยอมให้ตัวเองฟื้นฟูอย่างค่อยเป็นค่อยไป คือความเมตตาต่อใจตัวเอง - ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
หากความรู้สึกเศร้า กลัว หรือฝันร้ายยังไม่จางหายหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วหลายสัปดาห์ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพราะการดูแลจิตใจคือการดูแลชีวิตอย่างรอบด้าน
ภัยธรรมชาติอาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่พลังใจของมนุษย์คือสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ด้วยการโอบอุ้มซึ่งกันและกัน ด้วยการรับฟังอย่างเข้าใจ และด้วยการให้เวลากับใจที่กำลังเจ็บ เราอาจไม่ได้ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เราจะเข้มแข็งขึ้นจากมัน