
ภูมิธรรม เวชยชัย เรียกร้องไทย-กัมพูชาใช้สันติวิธีแก้ปัญหาชายแดน หวั่นขัดแย้งลุกลามเป็นสงคราม ย้ำอย่ามองว่าอีกฝ่ายยั่วยุ ยืนยันยังเจรจากันได้ในระดับผู้นำ
วันที่ 25 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความไม่สงบบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว หลังมีรายงานว่าทหารกัมพูชาได้ก่อสร้างเพิงพักในเขตพื้นที่ห้ามใช้ประโยชน์ตามบันทึกความเข้าใจ (MOU43) ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ
นายภูมิธรรมระบุว่า ไม่ควรมองประเด็นดังกล่าวให้เป็นเรื่องน่าวิตกเกินไป เนื่องจากปัญหาแนวชายแดนไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งในเขตแดนไทย–เมียนมา ไทย–ลาว และไทย–กัมพูชา ต่างยังมีพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายใช้แผนที่คนละฉบับ จึงต้องพึ่งพากระบวนการเจรจาผ่านคณะกรรมการร่วมตามกรอบที่กำหนดไว้
“พื้นที่ชายแดนบางจุดอาจล้ำกันโดยไม่ตั้งใจ เพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าเป็นของตนเอง เราต้องใช้สันติวิธีและความอดทนอดกลั้นในการเจรจา ไม่อยากให้ตีความว่าอีกฝ่ายยั่วยุ เพราะจะนำไปสู่ความรุนแรงและสงคราม ซึ่งไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์เลย” นายภูมิธรรมกล่าว
เขายืนยันว่า การแก้ไขข้อพิพาทมีเพียง 2 แนวทาง คือ เจรจาโดยสันติวิธี หรือปล่อยให้ความขัดแย้มนำไปสู่การเคลื่อนกำลังและการปะทะทางทหาร ซึ่งรัฐบาลไทยยืนยันใช้แนวทางแรกเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทหารกัมพูชาก่อสร้างเพิงพักในพื้นที่ต้องห้ามตาม MOU43 จะถือเป็นการยั่วยุหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า “ไม่อยากให้มองว่าเป็นการยั่วยุ เพราะความคิด ความเข้าใจ และอารมณ์ของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน บางครั้งแค่การกระทำเล็กๆ ก็ถูกตีความผิดได้ ดังนั้นการยึดหลักเจรจาและหลีกเลี่ยงความรุนแรงเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
นายภูมิธรรมยังกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการปกป้องอธิปไตยของประเทศอย่างมีสติ โดยใช้ช่องทางการทูตและการเจรจาเป็นหลัก เช่นเดียวกับสถานการณ์ข้อพิพาทในพื้นที่อื่นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเลจีนใต้ สงครามรัสเซีย–ยูเครน หรือความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นว่าการใช้กำลังนำมาซึ่งความสูญเสีย
“เรายังเชื่อมั่นว่า ระดับผู้นำของทั้งสองประเทศยังสามารถพูดคุยกันได้ ต้องไม่ให้ปัญหานี้ขยายตัว อย่าให้ความร้อนแรงของสถานการณ์นำพาเราไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” รองนายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย