กรมที่ดินชี้แจงการออกโฉนดที่ดินโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ และโครงการแรนโช ชาญวีร์ ชอบด้วยกฎหมายภายใต้มตินิคมสร้างตนเองลำตะคอง พร้อมดำเนินการแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน ส.ป.ก.
กรมที่ดินแจงชัด โฉนดโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย
กรุงเทพฯ — จากการอภิปรายของนายธีรัจชัย พันธุมาศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับที่ดินที่ตั้งของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ในพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ว่าอาจอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองและพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ซึ่งมีกฎหมายควบคุมห้ามออกโฉนดนั้น ล่าสุดกรมที่ดินได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว
กรมที่ดินระบุว่า พื้นที่ที่ตั้งของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ อยู่ภายในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง โดยอ้างอิงตามมติของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ที่อนุญาตให้นำพื้นที่ต้นน้ำลำธารบางส่วนมาใช้จัดสรรที่ดินให้แก่ราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์ โดยมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ค.3) ให้แก่สมาชิกนิคมฯ และกันพื้นที่ไว้เพื่ออนุรักษ์ดิน น้ำ และปลูกป่าทดแทนประมาณ 33,000 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 107,000 ไร่
ในกระบวนการขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองสิทธิ (น.ส.3 ก.) จาก น.ค.3 นั้น ต้องมีการร่วมรังวัดและยืนยันความถูกต้องโดยผู้ปกครองนิคมอย่างเคร่งครัด โดยโฉนดที่ดินของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ออกจาก น.ส.3 ก. ซึ่งแปลงหลักมาจาก น.ค.3 ที่ออกตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 ต่อมาได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือหลายครั้ง จนถึงการถือครองโดยบริษัท พีดี เขาใหญ่ จำกัด ในปี พ.ศ.2560
ทั้งนี้ ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองไม่ได้มีเพียงแค่โฉนดของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เท่านั้น แต่มีการออกเอกสารสิทธิทั้งโฉนดและ น.ส.3 ก. รวมกว่า 10,165 แปลง
สำหรับกรณีโครงการแรนโช ชาญวีร์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองเช่นเดียวกัน พบว่ามีการทับซ้อนกับพื้นที่ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบแนวเขตได้ดำเนินการตรวจสอบและรับรองแนวเขตนิคมไว้แล้ว
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยมีความเห็นตามเรื่องเสร็จที่ 128/2548 ว่า หากนิคมสหกรณ์จัดที่ดินล้ำเข้าไปในพื้นที่ ส.ป.ก. ให้มีการส่งมอบคืนแก่คณะกรรมการจัดที่ดิน และส่งต่อให้นิคมสหกรณ์ต่อไป ปัจจุบันกรมที่ดิน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้ส่งเรื่องต่อให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เพื่อดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินทับซ้อน
ประเด็นดังกล่าวสะท้อนถึงความซับซ้อนของสิทธิการใช้ที่ดินในพื้นที่ต้นน้ำลำธารและนิคมสร้างตนเอง ซึ่งยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมายอย่างรอบคอบต่อไป