นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สรุปภาพรวมวันแรกของการเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับจีน ว่า ภารกิจมีความลำบากเนื่องจากบ้านของแต่ละคนอยู่ห่างไกลกัน กระจายอยู่ใน 3 เมืองใหญ่ของเขตปกครองตนเองซินเจียง ระยะทางห่างกัน 400-500 กิโลเมตร และเนื่องจากมณฑลซินเจียงมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า ภูมิประเทศเป็นภูเขาและทะเลทราย ทำให้การเดินทางไปเยี่ยมชาวอุยกูร์แต่ละคนต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ 5-6 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม การเยี่ยมวันแรกได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ
รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้เยี่ยมชาวอุยกูร์รายหนึ่งที่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นเครื่องบินกลับจีน ด้วยการหามเปลขึ้นเครื่อง เนื่องจากมีอาการเจ็บป่วยทางปอดและผิวหนัง หลังจากได้พูดคุยกับแพทย์ ได้รับการยืนยันว่าสภาพร่างกายของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว สามารถพลิกตัวได้มากขึ้น
แจงเหตุเบลอหน้าเป็นสิทธิส่วนตัว-มนุษยชน
ในประเด็นที่มีการเบลอหน้าชาวอุยกูร์ในการนำเสนอข่าว นายภูมิธรรมชี้แจงว่า เป็นไปตามความต้องการของชาวอุยกูร์และทางการจีนที่ขอความร่วมมือให้เบลอหน้าเวลานำเสนอข่าว อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนที่ไปทำข่าวได้เห็นหน้าจริงๆ และสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเป็นคนในเครือข่ายและมีชื่อถูกส่งมาจริง
“เหตุผลในการเบลอหน้า บางคนบอกว่าไม่สบายใจ เพราะกลับมาแล้วได้ชีวิตใหม่ อยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองจากสาธารณะ บางคนเคยถูกชักจูงจากกลุ่มมุสลิมที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เขาก็กลัวว่าถ้ากลับมาแล้ว ไม่อยากไปแตะหรือเกี่ยวข้องอีก จึงยินดีให้เราสัมภาษณ์แต่ขอให้เขาได้ใช้ชีวิตส่วนตัว ซึ่งถือเป็นหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิส่วนตัวที่พวกเขาสามารถทำได้” นายภูมิธรรมกล่าว
รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ควรมีใครหยิบเป็นประเด็นเพื่อมาด้อยค่าความเป็นจริง และการที่เชิญสื่อมวลชนมาร่วมภารกิจก็เลือกจากช่องที่มียอดคนดูและติดตามจำนวนมาก เพื่อให้เรื่องนี้เป็นที่รับรู้ของคนในประเทศอย่างกว้างขวาง “เราเชิญสื่อทั้งเนชั่น ช่องสาม NBT เครือมติชน เครือไทยรัฐ เราเชิญหมด ถ้าดูในรายชื่อก็จะทราบว่าเราไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ซึ่งทุกคนที่มาได้เห็นความจริงและได้เจอความเป็นจริงทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้นลงจากรถก็ได้พบพร้อมๆ กัน”
เกณฑ์การเลือกครอบครัวที่ไปพบ
สำหรับเกณฑ์การเลือกครอบครัวที่ไปพบ นายภูมิธรรมเปิดเผยว่า มี 2 อย่างคือ 1.ขอพบกับ 40 คนที่ส่งกลับเป็นกลุ่มหลัก 2.อยากพบกับคนที่กลับมาในช่วงปี 2558 ซึ่งถ้าได้เจอทั้งสองกลุ่มก็จะสบายใจขึ้น โดยไม่มีเกณฑ์อื่น โดยที่สำคัญคือต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของชาวอุยกูร์
“เรามาไม่ใช่มาเยี่ยมผู้ต้องหา แต่เรามาเยี่ยมเยียนถามสารทุกข์สุกดิบ ถ้าพูดกันตามหลักเรื่องนี้จบตั้งแต่เขาขึ้นเครื่องบินของประเทศจีนกลับแล้ว ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศเขา ภารกิจของไทยจบแล้ว แต่เราไม่ได้มีภารกิจเพื่อทำแค่นี้ เพราะยังคงมีความกังวลใจต่างๆ” นายภูมิธรรมกล่าว
การแสดงความรู้สึกเป็นเรื่องของความจริง
นายภูมิธรรมยังย้ำว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปอย่างโปร่งใส หากใครคิดว่ามีการจัดฉาก ก็สามารถพิสูจน์ได้ “ส่วนการแสดงความรู้สึกมันห้ามไม่ได้ เขาไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด บอกให้ร้องไห้ก็ร้องได้เลย อันนี้มาถึงเขาน้ำตาซึม น้ำตาคลอ พอถามว่าดีใจไหม หรือรู้สึกอย่างไร น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างที่เห็น ตนแตะมือเขาเบา แต่เขาบีบมือแน่น แม้กระทั่งผู้หญิงที่เป็นพี่สาว ก็บีบมือตน ซึ่งเป็นการแสดงออกได้ชัดเจนจริงๆ”
ขอโทษชาวอุยกูร์จากใจจริง
รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้กล่าวขอโทษชาวอุยกูร์บางคนด้วยใจจริง “เพราะเรารู้สึกว่าเขามีโทษหลบหนีเข้าเมืองแค่ไม่เกิน 2 ปี หรือบางคนก็ 3 เดือน แต่นี่มันหนัก เราจึงรู้สึกและขอโทษที่ทำให้ต้องอยู่ในประเทศของเรา 10 กว่าปี และดีใจแทนที่เขาได้กลับบ้าน”
นายภูมิธรรมยังเผยว่า มั่นใจในการตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน “เดิมตนคิดว่า ได้ตัดสินใจกับคณะที่เกี่ยวข้อง เราพยายามทำดีที่สุดแล้ว ถ้าพูดตามตรงเราไม่อาจรับประกันใครได้ 100% เพราะไม่ใช่ตัวเรา แต่เรามั่นใจในจีน ถือว่าสิ่งที่เขาให้คำมั่นกับเราตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี หรือผู้นำระดับสูงของเขา ก็ให้คำมั่นกับนายกรัฐมนตรีไทย ว่าไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลอย่างดี นี่คือผู้นำระดับโลก ก็ควรรับฟังได้”
สำหรับการเยี่ยมครั้งต่อไป นายภูมิธรรมกล่าวว่า หากจะใช้ระบบซูม ก็ต้องเคารพอธิปไตยของจีน “เราบอกและเสนอเขาได้ ถ้าเขาอนุมัติก็โอเค แต่ต้องยอมรับว่าคนที่จะมาออกสื่อ ก็อึดอัดใจเหมือนกัน เพราะเขาผ่านอะไรร้ายๆ มาแล้ว ก็อยากใช้ชีวิตปกติกับครอบครัว บางทีการที่เราเอาเขามาออกสู่สาธารณะ แล้วซักถามเหมือนเขาเป็นนักโทษ เราก็คงต้องคิดในแง่ของมนุษยธรรมด้วย”