
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงที่กำหนดทรงผมนักเรียน ชี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ไม่สอดคล้องกับพัฒนาการและสิทธิของนักเรียน
5 มีนาคม 2568 – ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 ให้ เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 เนื่องจากเป็น ข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพและขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนกฎกระทรวง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวมีเนื้อหาที่จำกัดเสรีภาพในร่างกายของนักเรียนเกินสมควรแก่เหตุ โดยกำหนดให้
- นักเรียนชาย ห้ามไว้ผมยาวเกินตีนผม ห้ามไว้หนวดเครา
- นักเรียนหญิง ห้ามไว้ผมยาวเกินต้นคอ หากได้รับอนุญาตให้ไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย
- ห้ามนักเรียนใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย
แม้กฎดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง พลเมืองดีและศิษย์ที่ดีตามระเบียบประเพณี แต่ศาลเห็นว่า กฎนี้ไม่ได้คำนึงถึงพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย รวมถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย ทำให้การบังคับใช้กฎดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของนักเรียน
ขัดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และรัฐธรรมนูญ
ศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งกำหนดให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ยังถือเป็น การจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลโดยไม่สมเหตุสมผล ซึ่งขัดต่อ มาตรา 26 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ศาลมีคำสั่งให้ เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ซึ่งหมายความว่ากฎข้อบังคับเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายอีกต่อไป
ผลกระทบจากคำพิพากษานี้
- สถานศึกษา ยังสามารถกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของ สิทธิมนุษยชนและความเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก
- นักเรียน มีสิทธิในการเลือกทรงผมโดยไม่ถูกบังคับใช้กฎที่ลิดรอนเสรีภาพเกินสมควร
- หน่วยงานภาครัฐและโรงเรียน ต้องปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับการแต่งกายและทรงผมให้สอดคล้องกับหลักสิทธิเด็กและรัฐธรรมนูญ
คำพิพากษานี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการปฏิรูปกฎระเบียบของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสิทธิเด็กและการเปลี่ยนแปลงของสังคม