
รัฐบาลไทยเดินหน้าแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาอย่างจริงจัง โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมใช้มาตรการตัดไฟฟ้าครึ่งหนึ่งในพื้นที่เป้าหมาย โดยเฉพาะบริเวณเมืองชเวโก๊กโก่และเคเคปาร์ค ในจังหวัดเมียวดี ซึ่งเป็นแหล่งที่มั่นสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลด้านความมั่นคง พบว่ามีการใช้ไฟฟ้าผิดวัตถุประสงค์ในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยมีความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทที่ได้สัมปทานไฟฟ้า กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบ่อนคาสิโน นอกจากนี้ยังพบว่ามีการขอใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่ไม่สามารถชี้แจงวัตถุประสงค์การใช้งานได้
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตัดไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายและการทูตที่ซับซ้อน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ระบุว่าต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ต้องมีการตรวจสอบพื้นที่จริง และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้สัมปทานจากเมียนมารวม 4 บริษัท ในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก แม่สอด และพญาตองซู
ความท้าทายอีกประการคือ แม้จะมีการตัดไฟฟ้าในบางพื้นที่ไปแล้ว แต่พบว่ากลุ่มอาชญากรยังสามารถดำเนินกิจการได้โดยใช้เครื่องปั่นไฟหรือหาแหล่งพลังงานทดแทนจากที่อื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการตัดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการแก้ปัญหา
ล่าสุด รัฐบาลไทยได้ประสานความร่วมมือกับจีนในการแก้ปัญหา โดยนายภูมิธรรมมีกำหนดหารือกับผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน เนื่องจากปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไทยเพียงประเทศเดียว แต่ยังเชื่อมโยงกับหลายประเทศ รวมถึงเส้นทางผ่านย่างกุ้งและแอฟริกา
ขณะเดียวกัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานความคืบหน้าในการปราบปรามบัญชีม้า โดยสามารถระงับบัญชีได้กว่า 1.6 ล้านบัญชี และจับกุมผู้กระทำผิดได้ 2,495 ราย ในปี 2567 สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาต้องดำเนินการในหลายมิติควบคู่กันไป
การตัดไฟฟ้าอาจเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการสกัดกั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการดำเนินมาตรการป้องกันในหลายระดับไปพร้อมกัน