นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง ได้คัดกรองข้อมูลผู้ลงทะเบียนบนแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ตามเงื่อนไขการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 มีอยู่ประมาณ 3,200,000 คน
โดยกำลังประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อคัดกรองคุณสมบัติ คือ มีเงินได้ไม่เกินปีละ 840,000 คนบาท ตามปีภาษี 2566 / มีเงินฝากทุกสถาบันการเงินรวมกันไม่เกิน 500,000 คน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และไม่ใช่กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ ซึ่งได้รับเงินไปแล้ว ในเฟสแรก
จึงขอให้ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เร่งผูกบัญชีพร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชน เพื่อรอรับเงิน 10,000 บาท คาดว่าจะคัดกรองคุณสมบัติแล้วเสร็จ และพร้อมกดปุ่มโอนเงิน ก่อนวันที่ 29 มกราคม 2568 หรือ ก่อนเทศกาลตรุษจีน
นอกจากนี้ เตรียมเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการเปิดลงทะเบียนกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ตโฟน ในช่วงหลังปีใหม่
คาด ก.พ.68 เริ่มทดสอบระบบโอนเงินดิจิทัล
ส่วนความคืบหน้าการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ที่ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐนั้น รมช.คลัง ยืนยัน จะทำภายใต้ระบบ Digital Payment Platform ซึ่งสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เป็นผู้พัฒนาร่วมกับที่ปรึกษาเอกชน
ขณะนี้ระบบแพลตฟอร์มกลางของโครงการมีความคืบหน้าไปมาก และจะเริ่มทดสอบระบบโอนเงินในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก่อนที่จะเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของธนาคารที่จะเข้าร่วมโครงการ (Open Loop) ซึ่งจะมีผู้แทนจากแบงก์ชาติเข้าร่วมตรวจสอบการทำงานของระบบด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการชำระเงินทั้งระบบ โดยรัฐบาลจะให้เวลาการทดสอบระบบ จนกว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่แบงก์ชาติกำหนด
เข้าร่วมโครงการ (Open Loop) ซึ่งจะมีผู้แทนจากแบงก์ชาติเข้าร่วมตรวจสอบการทำงานของระบบด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการชำระเงินทั้งระบบ โดยรัฐบาลจะให้เวลาการทดสอบระบบ จนกว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่แบงก์ชาติกำหนด
ส่วนกรณีที่แบงก์ชาติ ทำหนังสือแสดงความเป็นห่วงการแจกเงิน 10,000 บาท จะทำให้เกิดปัญหาการขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้น พร้อมแนะรัฐบาลแบ่งเงินงบประมาณในการทำโครงการ ไปลงทุนภาครัฐเพิ่มเติม นายจุลพันธ์ ระบุว่า แบงก์ชาติ ไม่ได้คัดค้าน แต่เป็นการเสนอแนะความเห็นตามหน้าที่ และไม่กระทบต่อการผลักดันโครงการในเฟสที่ 3 พร้อมย้ำว่าการทำงานระหว่างกระทรวงการคลังกับแบงก์ชาติ เป็นไปด้วยดี