นายหิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากความร่วมมือกันทำงานของ 2 กระทรวง อันได้แก่ กระทรวงพลังงานที่นำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่นำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้ร่วมมือกันในการเดินหน้าแก้พระราชบัญญัติ 4 พระราชบัญญัติอันเกี่ยวเนื่องกับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อช่วยปลดล็อกความสะดวกสบายและการเข้าถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ของประชาชนและผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงการใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อนประสบความสำเร็จในที่สุด ซึ่งตนเองถือว่านี่เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์การเดินหน้าการใช้พลังงานสะอาดครั้งสำคัญของประเทศไทย และควรต้องให้เครดิตความดีความชอบแก่นายพีระพันธุ์และนายเอกนัฏเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากเรื่องโซลาร์รูฟท็อปแล้ว นายพีระพันธุ์และนายเอกนัฏ ในฐานะผู้บริหารของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมตามลำดับ ยังอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกันเพื่อพิจารณาขยายกรอบการปลดล็อกโซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) และ โซลาร์ โฟลทติ้ง (Solar Floating) เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นฮับของพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
สำหรับการปลดล็อกโซลาร์รูฟท็อปในครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากที่เมื่อช่วงเช้าของวันอังคารที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอให้ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ … (พ.ศ. …) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 กำหนดยกเว้นให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ทุกกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานและไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ซึ่งต่างจากเดิมที่กฎหมายโรงงานกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปที่มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ซึ่งจากนี้จะต้องรอการประกาศในราชกิจจาณุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
ทั้งนี้การปลดล็อกโซลาร์รูฟท็อปเป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากสมัยน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งการปลดล็อกนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดของคนไทย
โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอกชนรายย่อยให้สามารถเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าสะอาดจากพลังแสงอาทิตย์ได้แล้ว ยังจะกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่จะตอบสนองต่อเทรนด์การค้าโลกในอนาคตและช่วยดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ (FDI) ให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามนโยบาย “ซีโร่คาร์บอน(Zero Carbon Emissions)” และนโยบายปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่ “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยจากนี้ไปการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทย ย้ำอีกครั้งว่า จะไม่ต้องขอจดทะเบียนเป็นโรงงานอีกต่อไป อันจะไม่ขัดต่อกฎหมายผังเมืองด้วย