โรคไขสันหลังอักเสบ (Myelitis) เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเซลล์ประสาทในไขสันหลัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งสัญญาณประสาท ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง ชา และปัญหาในการขับถ่าย รวมถึงความผิดปกติในระบบประสาทอัตโนมัติ สามารถพบได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่
โรคไขสันหลังอักเสบสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น :
- การติดเชื้อ: มักเกิดหลังจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเริม อีสุกอีใส งูสวัด หรือเอนเทอโรไวรัส นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น วัณโรค และไมโคพลาสมา
- โรคภูมิต้านตนเอง: เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อไขมันที่ปกป้องเซลล์ประสาท
- ผลข้างเคียงจากวัคซีน: บางครั้งการฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบหรือหัด อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้
ผู้ป่วยโรคไขสันหลังอักเสบมักมีอาการดังนี้:
- อาการอ่อนแรงของแขนหรือขา
- ความรู้สึกผิดปกติ เช่น ชา หรือรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต
- ปัญหาในการขับถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระ
- อาการปวดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดแปล๊บหรือปวดร้าว
การวินิจฉัยโรคไขสันหลังอักเสบจะใช้วิธีการต่างๆ เช่น:
- การตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture): เพื่อตรวจหาสัญญาณของการอักเสบและเชื้อโรค
- MRI ของไขสันหลัง: เพื่อดูตำแหน่งและความรุนแรงของการอักเสบ
- การตรวจเลือด: เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
การรักษาโรคไขสันหลังอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยทั่วไปจะมีการใช้:
- ยาสเตียรอยด์: เพื่อช่วยลดการอักเสบ
- ยาต้านไวรัส: หากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
- การทำกายภาพบำบัด: เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหว
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีมักจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดี แต่หากมีความรุนแรงของอาการก่อนพบแพทย์ อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ในการรักษาได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง สำหรับโรคไขสันหลังอักเสบเป็นภาวะที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถนำไปสู่อาการพิการถาวรได้ หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาที่เหมาะสม
อ้างอิง : หาหมอ.com / รพ.เด็กสินแพทย์