วันที่ 22 ตุลาคม ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าประชุมติดตามความคืบหน้าคดี ดิไอคอนกรุ๊ป พร้อมด้วย พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตนเดินทางมาติดตามความคืบหน้าในคดี ดิ ไอคอน กรุ๊ป และมาเยี่ยมดูผู้เสียหายด้วยว่า ขณะนี้มีการแจ้งความจำนวนเท่าไรแล้ว โดยตามที่เราได้เปิดศูนย์รับแจ้งความตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม จนถึงวันนี้ ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีประมาณ 3,000 กว่าราย เฉลี่ยประมาณวันละ 300-500 ราย และสอบปากคำไปแล้ว ซึ่งจากการวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปริมาณพนักงานสอบสวนที่จัดเตรียมไว้ถึง 100 คน กับผู้เสียหายเป็นการทำให้ไม่สัมพันธ์กันในเรื่องของระยะเวลาการรอในการสอบปากคำ จึงได้เปิดให้รับแจ้งความทั่วประเทศที่ สถานีตำรวจภูธรทั้ง 76 จังหวัด โดยมีประชาชนแจ้งความแล้ว 3,000 กว่ารายเช่นกัน แต่ยังไม่ได้เรียกสอบสวน รวมความคืบหน้าในเรื่องการแจ้งความทั้งหมดประมาณ 6,000 กว่ารายทั่วประเทศ ความเสียหาย 2,000 กว่าล้าน
ส่วนความคืบหน้าในคดี ดิ ไอคอน กรุ๊ป ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน อยู่ในการควบคุมที่เรือนจำพิเศษ ส่วนการขยายผลอยู่ระหว่างการสอบสวน ทั้งในเรื่องของเส้นทางการเงิน และการวิเคราะห์บัญชีการเงิน ซึ่งวันนี้ มีการไปตรวจค้นทั้งหมด 11 จุด ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นพนักงานและคนใกล้ชิดกับผู้ต้องหาทั้ง 18
คน แต่ยอมรับ ว่าอาจมีการขยายผลไปยังครอบครัวของผู้ต้องหาด้วยเช่นกัน
ส่วนการออกหมายจับผู้ต้องหาล็อต 2 กำลังตรวจสอบหหลักฐานทั้งหมดที่ได้มา หากใครมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใดและมีหลักฐานอย่างชัดเจน ก็จะดำเนินการตามกฏหมายต่อไป ส่วนจะเป็นบอสหรือเป็นแม่ข่ายนั้น อยู่ระหว่างการสอบสวน ยังไม่ขอเปิดเผย แต่ยังยืนยันว่าหากหลักฐานไปพาดพิงถึงระดับบอส พนักงานหรือใครก็ตาม ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด
ส่วนเส้นแบ่งระหว่างผู้ต้องหากับผู้เสียหาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า บุคคลที่แสดงตัวเป็นผู้เสียหาย ต้องเตรียมหลักฐานทางการเงินว่า ได้สูญเสียเงินด้วยวิธีใด อย่างไร และยังก็คงระวังเรื่องของผู้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด และมาแสดงตนเป็นผู้เสียหาย ซึ่งอย่างไรก็ต้องสอบปากคำ และข้อเท็จจริงออกมากลายเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ถ้าพยานหลักฐานปรากฏเช่นนั้น เส้นแบ่งนั้นก็จะหายไป กลายเป็นผู้ที่อยู่ในข่ายที่ต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหา แต่ทั้งหมดจะอยู่ในการวิเคราะห์คำให้การทุกราย
เมื่อถามว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ 18 ผู้ต้องหาหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกว่า อยู่ระหว่างการสอบสวน เพราะในเบื้องต้น เท่าที่สื่อได้ทราบกันเป็นคดีฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ส่วนความผิดฐานอื่นหากสอบสวนและพบว่า เป็นความผิดก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ส่วนใน พ.ร.บ.ฟอกเงิน อยู่ระหว่างสอบสวน
ส่วนกรณีที่เจอความผิดปกติข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของ นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ควรจะมีเลขบัตรนำหน้าด้วยเลข 3 แต่กลายเป็นเลข 5 นั้น พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกว่า เรื่องนี้ได้ประเด็นมาบ้าง โดยพบว่า เป็นการตกหล่นการสำรวจ จึงมีการไปเพิ่มชื่อภายหลัง เบื้องต้นยืนยันว่า บอสพอลยังเป็นคนไทยอยู่ ไม่ใช่คนต่างด้าว
ส่วนกรณีคลิปเสียงนักร้องเรียนหญิงรายหนึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนได้มอบให้ เร็ว บก.ปปป.
เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนและขยายผลตามหลักฐานทั้งหมด ว่าเกี่ยวพันกับผู้ใดบ้าง แต่ยังไม่ขอเปิดเผย แต่ทั้งนี้มีการสอบปากคำบอสพอลไปแล้วว่า และได้รับการยืนยันว่า เป็นเสียงของบอสพอลจริง แต่ตัวละครที่เกี่ยวข้องยังไม่ขอเปิดเผยและยืนยันว่าหากพบว่าเป็นตัวบุคคลใดแล้วมีหลักฐานชัดเจนที่เป็นการกระทำความผิดต่อเจ้าพนักงานของรัฐหรือความผิดต่อแผ่นดินเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ละเว้นแม้เพียงรายเดียว ส่วนจะมีบุคคลใดมาแสดงความบริสุทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถจะแสดงได้ แต่ทั้งหมดจะขึ้นกับหลักฐาน ผู้กล่าวหาว่า คลิปเสียงนั้นมีการร้องทุกข์กล่าวโทษในฐานะผู้เสียหายหรือไม่ หรือเป็นความผิดต่อแผ่นดินที่เจ้าพนักงานของรัฐ สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้เอง ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน ในช่วงเวลานี้ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายหนึ่งสามารถชี้แจงหรือร้องทุกข์กล่าวโทษในฐานะที่เป็นผู้เสียหายได้เช่นกัน แต่ความผิดใดที่ปรากฏเป็นความผิดต่อแผ่นดินเจ้าหน้าที่รัฐสามารถจะร้องทุกข์ได้ต่อเมื่อความผิดนั้นปรากฏหลักฐานชัดเจน
เมื่อถามว่า คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลในคลิปเสียง ออกมาแสดงตัวว่า จะใช้กฎหมายอาญาเกี่ยวกับการดักฟังมาใช้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่บุคคลนั้นจะออกมาชี้แจงได้ แต่ในทางกฎหมายทาง บก.ปปป. ก็จะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ เป็นเสียงของใครอยู่ที่การพิสูจน์ทราบ
ส่วนกรณีของ “ว.วชิระเมธี” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องใช้ดุลยพินิจวิจารณญาณอย่างมาก เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบและสอบสวนให้ดี ซึ่งหากใครผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ในเรื่องของกระแสข่าว ข้อมูลที่ปรากฏออกมาต่างคนต่างพูด เราต้องใช้วิจารณญาณและดุลยพินิจให้ดี
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นเงินที่ถูกโยงไปเรื่องคริปโต พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกว่า ได้สอบปากคำและมีความคืบหน้าไปเยอะแล้ว โดย บก.ปปป. แต่ต้องฝากถึงผู้จัดรายการต่างๆ เข้าใจว่าทุกคนมีความหวังดีต่อสังคมไทยและพี่น้องประชาชน แต่อะไรก็ตามอยากให้ฃได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า จริงเท็จแค่ไหน ก่อนที่จะเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ เพราะจะทำให้สังคมไขว้เขว และเราอยู่ในโลกของโซเชียล ประชาชนที่ไม่รู้เรื่อง อาจจะมองว่า เป็นอย่างนี้เลยหรือ ทำไมตำรวจปล่อยให้มีการถ่ายโอนทรัพย์สินไป เพราะต้องตรวจสอบว่า ใครพูดข้อเท็จจริงหรือไม่ และหากนำข้อมูลอันเป็นเท็จออกเผยแพร่ต่อพี่น้องประชาชน ต้องการเวทีของสื่อสารสาธารณะ จะต้องรับผิดชอบในข้อมูลอันเป็นเท็จที่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณะชน หากเป็นเท็จก็ต้องถูกดำเนินคดี ตนจึงอยากจะฝากไปถึงผู้จัดรายการหรือผู้ที่มีความหวังดีต่อสังคม อยากให้ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเสียก่อน ก่อนที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นออกแสดงหรือเผยแพร่ต่อสาธารณะ ที่อาจจะทำให้ประชาชนสังคมสับสนต่อข้อเท็จจริง
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังมั่นใจว่า จะปิดคดี ได้ทัน 48 วัน หรือ ฝากขัง 4 ผลัด อย่างแน่นอน