คัดลอก URL แล้ว
อย่าหาทำ! แอบเอาข้อมูล-สิ่งตรวจคนไข้ ออกจาก รพ. ผิดกฎหมายหลายกระทง

อย่าหาทำ! แอบเอาข้อมูล-สิ่งตรวจคนไข้ ออกจาก รพ. ผิดกฎหมายหลายกระทง

การแอบนำข้อมูลผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเป็นความผิดร้ายแรง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผิดทั้งทางแพ่งและอาญา มีบทลงโทษทั้งจำคุก ปรับ และโทษทางวินัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์

กรณีที่มีการนำภาพหลอดเก็บเลือดของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ออกมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ได้สร้างความวิตกและกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่อไปในทางผิดจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญาตามกฎหมายไทยอีกด้วย บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงมิติทางกฎหมายของการแอบนำข้อมูลผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ความผิดทางแพ่ง
การนำข้อมูลหรือสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการ “ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล” เนื่องจากข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิดังกล่าวสามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำผิดได้

นอกจากนี้ หากผู้ที่กระทำการดังกล่าวเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์ พยาบาล ก็จะมีความผิดฐาน “ละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพ” ด้วย โดยอาจถูกลงโทษทางวินัย เช่น การตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำ

ความผิดทางอาญา
การแอบนำข้อมูลผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ยังมีความผิดตามกฎหมายอาญาด้วย ดังต่อไปนี้

  1. พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 ห้ามมิให้บุคคลใดเปิดเผยข้อมูลสุขภาพของผู้อื่น เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล มิเช่นนั้นมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 323 หากผู้กระทำเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ เภสัชกร คนจำหน่ายยา นางผดุงครรภ์ พยาบาล เมื่อล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้ป่วยแล้วนำไปเปิดเผย จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แนวทางปฏิบัติเมื่อพบเห็นการกระทำผิด
หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดในลักษณะนี้ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข แพทยสภา เป็นต้น พร้อมทั้งเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ หรือเอกสารต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินคดี

ข้อควรระวัง
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจริยธรรมและการปฏิบัติตามกรอบกฎหมายของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ต้องรักษาความลับของผู้ป่วยตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ นอกจากนี้ประชาชนก็ควรตระหนักถึงความอ่อนไหวของข้อมูลสุขภาพ ซึ่งได้รับการคุ้มครองในฐานะข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย การจัดการข้อมูลเหล่านี้จึงต้องกระทำด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง

—–

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผ่านการแอบนำข้อมูลหรือสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลมาเผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดทั้งหลักจริยธรรมและกฎหมาย ผู้กระทำมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา อาจต้องรับโทษจำคุก ปรับ หรือถูกลงโทษทางวินัยในกรณีที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์

เหตุการณ์นี้จึงเป็นกระจกส่องให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาจริยธรรมและการปฏิบัติตามกรอบกฎหมายของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคลากรในวิชาชีพที่ต้องรับผิดชอบต่อความลับของผู้คน หากทุกภาคส่วนช่วยกันสอดส่องและสร้างสังคมที่เคารพต่อสิทธิส่วนบุคคล เราก็จะสามารถลดปัญหาในลักษณะนี้ลงได้ในอนาคต


ข่าวที่เกี่ยวข้อง