คัดลอก URL แล้ว
สังคมไทยโสดแล้วไง? รัฐเร่งปั๊มลูก แต่คนไม่พร้อมจะมีคู่

สังคมไทยโสดแล้วไง? รัฐเร่งปั๊มลูก แต่คนไม่พร้อมจะมีคู่

ในปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลง รัฐบาลจึงได้พยายามผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชากรมีลูกมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีคู่แล้ว อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ในปี 2566 กลับชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีแนวโน้มเป็นโสดมากขึ้น โดยมีสัดส่วนถึง 23.9% ของประชากรทั้งหมด และเมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มวัยเจริญพันธุ์ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึง 40.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีอยู่ 35.7%

ค่านิยมใหม่ของคนโสดยุคใหม่

การเป็นโสดกลายเป็นค่านิยมใหม่ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน โดยมีกลุ่มที่น่าสนใจ เช่น SINK (Single Income, No Kids) ซึ่งเป็นกลุ่มคนโสดที่มีรายได้และเลือกใช้ชีวิตเพื่อตนเองโดยไม่มีลูก โดยข้อมูลจากสภาพัฒน์แสดงให้เห็นว่า สัดส่วนของคน SINK จะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม PANK (Professional Aunt, No Kids) ที่เป็นผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีหน้าที่การงานดี แต่เลือกที่จะไม่มีลูก โดยหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลหลานหรือเด็กในครอบครัวแทน ปัจจุบันมีคนกลุ่มนี้ถึง 2.8 ล้านคน โดยส่วนใหญ่มีรายได้ดีและการศึกษาสูง และยังมีกลุ่ม Waithood ซึ่งเป็นคนโสดที่เลือกรอคอยความรักเนื่องจากยังไม่พร้อมหรือไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยข้อมูลชี้ว่า ในกลุ่มคนโสดที่มีรายได้ต่ำสุด 40% นั้น มีสัดส่วนถึง 37.7% ที่เป็นกลุ่ม Waithood โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชายถึง 62.6% และมีการศึกษาไม่สูงนัก ทำให้มีข้อจำกัดในการหารายได้

ความคาดหวังที่สวนทางกัน

นอกจากปัจจัยเรื่องค่านิยมแล้ว ความคาดหวังของคนหาคู่ในปัจจุบันก็มีความแตกต่างจากอดีต จากผลสำรวจของบริษัทหาคู่ชื่อดังในปี 2564 พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ถึง 76% ไม่ยอมคบกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และ 83% ไม่เลือกคนที่ตัวเตี้ยกว่า ส่วนฝั่งผู้ชายนั้น 59% ไม่อยากมีแฟนที่ตัวสูงกว่า และอีกกว่า 60% ไม่อยากคบกับคนที่เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว จะเห็นได้ว่าความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงทั้งสองฝ่าย ทำให้โอกาสในการจับคู่กันลดลงอย่างมาก

สไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่เอื้อต่อการพบคนใหม่

ไลฟ์สไตล์ของคนโสดในยุคนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้พบเจอคนใหม่ๆ ข้อมูลจากสภาพัฒน์ระบุว่า ในปี 2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น กรุงเทพฯยังติดอันดับ 5 เมืองที่แรงงานต้องทำงานหนักที่สุดในโลก สภาพการทำงานเช่นนี้จึงทำให้คนโสดไม่มีเวลาไปหาคู่นั่นเอง

นโยบายรัฐยังไม่ตอบโจทย์คนโสด

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้มีนโยบายส่งเสริมการมีคู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมุ่งเน้นแต่คนโสดที่มีความพร้อมอยู่แล้วเท่านั้น ต่างจากในหลายๆ ประเทศที่มีมาตรการครอบคลุมไปถึงการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสให้คนโสดได้พบปะกันมากขึ้น ดังนั้น สภาพัฒน์จึงมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐสนับสนุนแพลตฟอร์มหาคู่ ส่งเสริมสมดุลชีวิตการทำงาน เพิ่มการฝึกทักษะวิชาชีพ รวมถึงจัดกิจกรรมให้คนโสดได้มาพบปะสังสรรค์กัน เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่

ปัญหาอัตราการเกิดต่ำในไทยไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการส่งเสริมให้คู่สมรสมีลูกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มคนโสดด้วย เพราะปัจจุบันคนกลุ่มนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากค่านิยมที่เปลี่ยนไป ความคาดหวังที่สวนทางกัน การใช้ชีวิตที่ไม่เอื้อให้ได้พบคนใหม่ และนโยบายของรัฐที่ยังไม่ตอบโจทย์ สภาพัฒน์จึงได้เสนอแนวทางต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้คนโสดมีโอกาสพบคู่มากขึ้น ซึ่งหากทำได้จริงก็จะช่วยให้แก้ปัญหาประชากรลดลงได้ในอีกทางหนึ่ง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง