หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมแก้ไขปัญหายาเสพติดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเสนอแนวทางนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดนั้น ผู้ประกอบการกัญชาต่างแสดงความกังวลและวอนให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้ให้ดีก่อน เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการหลายรายได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก
นายพงษ์พันธ์ เจ้าของร้านขายกัญชาที่มีใบอนุญาตถูกต้องใน ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเปิดร้านขายกัญชาและปลูกกัญชาเอง รวมถึงใช้กัญชาเพื่อสันทนาการด้วย ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวโมโน29 ว่า หากรัฐบาลจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ถือเป็นการพูดกลับไปกลับมา ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ ที่ผ่านมาเคยคิดจะเปิดเสรี แต่วันนี้กลับมาคิดจะปิด นายกฯ ควรหามาตรการมารองรับด้วย เพราะทุกอย่างมีการลงทุนลงแรงไปแล้ว
นายพงษ์พันธ์ยังได้เปิดเผยถึงการลงทุนของตนเองว่า หลังจากมีการเปิดเสรีกัญชาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เขาได้ลงทุนเปิดร้านขายกัญชา และปลูกกัญชาในห้องแอร์ขนาด 2 ตารางเมตร โดยทุ่มทุนไปหลักแสนบาท มีค่าไฟจากแอร์เดือนละประมาณ 4,000 บาท ยังไม่รวมค่าปุ๋ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ส่วนรายได้จากการขายดอกแห้งเฉลี่ยประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน หักต้นทุนแล้วจะมีกำไรเหลือประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาท ซึ่งถือว่าเลี้ยงชีพได้ แม้ตนเองจะไม่ได้ทำฟาร์มใหญ่โต แต่ก็ยังลงทุนไปมากขนาดนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่จะยิ่งเสียหายมหาศาลหากกัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนคำพูดอย่างจริงจัง
หากรัฐบาลยืนยันที่จะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดจริงๆ นายพงษ์พันธ์บอกว่า ตนเองก็คงทำอะไรไม่ได้ กัญชาที่ปลูกไว้ในห้องแอร์ก็ต้องนำไปทิ้ง เพราะจะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการกัญชาต่างเห็นตรงกันว่า ขอให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบก่อน เพราะจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก