เจ้าของวิลล่าหรู ริมหาดมายู จังหวัดภูเก็ต เข้ารื้อถอนบันได แนวกั้นคลื่น และสะพานไม้ หลังนักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ ก่อเหตุทำร้ายแพทย์หญิง ก่อนนำไปสู่การขยายผลตรวจสอบธุรกิจปางช้าง วีซ่า และการครอบครองที่ดินบริเวณชายหาด จนพบว่ามีการก่อสร้างลุกล้ำพื้นที่สาธารณะ รื้อถอนบันไดวิล่าหรูหาดมายู จ.ภูเก็ต
บันไดวิลล่า ตรงจุดเหตุถูกเจ้าของโครงการ บนที่ดินบริเวณหาดยามู จังหวัดภูเก็ต ว่าจ้างบริษัทเอกชนนำเครื่องจักรกลเข้ารื้อถอน พบว่านอกจากบันไดแล้ว ยังมีการรื้อถอนแนวกั้นคลื่น และสะพาน ที่ถูกระบุว่า มีลุกล้ำพื้นที่สาธารณะ โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลป่าคลอก ได้เข้าตรวจสอบขอบเขตที่ดิน พบว่ามีการถือครองเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก. บริเวณบันไดของวิลล่า ที่มี 4 ขั้น เฉพาะขั้นแรก
ส่วนอีก 3 ขั้น ด้านล่างเป็นรุกล้ำที่ดินสาธารณะแนวชายหาดทรายสาธารณะ นายไพโรจน์ ศรีละมุล นายอำเภอถลาง จึงมอบหมายให้นายกเทศมนตรีตำบลป่าคลอก เข้าแจ้งความดำเนินคดีบุกรุกตามกฎหมาย และมีหนังสือคำสั่งให้ดำเนินการรื้อถอนขั้นบันไดที่ รุกล้ำลงมาในที่สาธารณะตามกฎหมาย ภายใน 30 วัน
ส่วนที่มีโพสต์ภาพสำเนาเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือ น.ส. 3 ก. บริเวณแหลมยามู ตำบลป่าคลอง อำเภอถลาง เนื้อที่กว่า 106 ไร่ มีรายชื่อเจ้าพนักงานที่ดิน ผู้ลงนามเอกสาร พบว่ามีประวัติโดนไล่ออกจากราชการ และมีประวัติพัวพันกับการออกเอกสารสิทธิบนเกาะนาคาน้อย เมื่อปี 2561 จึงมีการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบที่มาพบที่ดิน น.ส. 3 ก. มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น
อดีตผู้ใหญ่บ้านให้ข้อสังเกตว่า รูปที่ดินในเอกสาร น.ส. 3 ก. มีที่ดินเพียง 98 ไร่เศษ และต้องกันพื้นที่ชายทะเล ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ ฝั่งละ 40 เมตรแต่เมื่อที่ดินถูกขายให้กับบริษัทชาวต่างชาติ และแปลงเป็นเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. พบว่าที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น จากเดิม 98 ไร่เศษ เพิ่มเป็น 106 ไร่เศษ ส่วนพื้นที่ระยะห่างจากชายทะเล 40 เมตร “หายไป”
ป.ป.ช. ประกาศตรวจที่ดินติดหาดภูเก็ต “ทุกแปลง”
ผู้อำนวยการ ป.ป.ช. จังหวัดภูเก็ต ลงพื้นหาดยามู จุดที่ใกล้กับที่ตั้งของวิลลาหรู ระบุว่า ที่ดินแปลง106 ไร่ มีข้อมูลอยู่แล้ว พร้อมประสาน ป.ป.ช.ส่วนกลางตรวจสอบเพิ่มเติม และจะเดินหน้า ตรวจสอบที่ดินที่ติดชายหาด ทุกหาดด้วย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เตรียมตรวจสอบการเงิน “เดวิด”
นอกจาก ป.ป.ช.ประจำจังหวัดภูเก็ต ที่ลงพื้นที่ตรวจ ธุรกิจของนายเดวิดแล้ว กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้รับการประสานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจปางช้างของนายเดวิด ว่าประกอบธุรกิจถูกต้องหรือไม่ โดยต้องมีการตรวจสอบเชิงลึกร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น การตรวจสอบเส้นทางการเงิน
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัทดังกล่าว มีนางคะนึงนิจ ชทาล์ดเดคเกอร์ และนายนิคม จ่าทองคำ ถือหุ้นรวมกัน 24,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 51
ส่วนนายเดวิด หรือชื่อจริงนายอูรส์ บีท เฟอร์ ถือหุ้น 19,600 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 49 สำหรับบริษัทนายเดวิด ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เมื่อ 4 มิถุนายน 2565 มีการนำส่งงบการเงินปี 2565 มีรายได้รวมกว่า 46 ล้าน 3 แสนบาท และมีสินทรัพย์รวมกว่า 21 ล้าน 9 แสนบาท
นอกจากนี้ ยังเตรียมตรวจสอบผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับภาคท่องเที่ยว อีก 59 รายในภูเก็ต ที่มีต่างด้าวถือหุ้นว่าประกอบธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยส่วนใหญ่เป็นทุนจีนมากที่สุด รองลงมาคือรัสเซียส่งหนังสือเพิกถอดวีซ่า “เดวิด”
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.) จังหวัดภูเก็ต มีหนังสือด่วนที่สุด ถึง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต เรื่องขอให้พิจารณาดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางของ นายเดวิด โดยในหนังสือระบุว่า การกระทำของนายเดวิดมีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขและความเรียบร้อยของประชาชน จึงขอให้พิจารณาดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางของนายเดวิดโดยเร่งด่วน